สกุลเงินยูโรดีดตัวขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (3 ส.ค.) หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาดในเดือนมิถุนายน ในขณะที่ตลาดคาดว่าเจ้าหน้าที่ในยุโรปจะออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อควบคุมวิกฤตในภูมิภาค และนักลงทุนกล้าเสี่ยงมากขึ้น ส่งผลให้เงินสกุลยูโรพุ่งแรงสุดในการซื้อขายระหว่างวันในรอบ 1 เดือน
ยูโรพุ่ง 1.64% แตะที่ 1.2380 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.2180 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ปอนด์เพิ่มขึ้น 0.8% แตะที่ 1.5638 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5514 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์อ่อนตัวลง 0.47% เมื่อเทียบกับเยน แตะที่ 78.590 เยน จากระดับ 78.220 เยน และร่วงลง 1.57% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิส แตะที่ระดับ 0.9707 ฟรังค์ จากระดับ 0.9862 ฟรังค์
ดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 0.93% แตะที่ 1.0558 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.0461 ดอลลาร์สหรัฐ และดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้น 1.07% แตะที่ 0.8183 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8096 ดอลลาร์สหรัฐ
เงินสกุลยูโรปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งก่อนที่สหรัฐจะเปิดเผยตัวลเขการจ้างงาน เนื่องจากตลาดมีมุมมองที่เป็นบวกหลังที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ส่งสัญญาณว่า จะให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่สเปนและอิตาลีที่กำลังประสบกับวิกฤตหนี้สาธารณะ
นายมาริโอ ดรากิ ประธานอีซีบีกล่าวในการประชุมครั้งล่าสุดว่า อีซีบีอาจจะแทรกแซงตลาดเพื่อทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของประเทศที่ประสบปัญหาปรับลดลง หลังจากที่กองทุนช่วยเหลือของยูโรโซนได้ดำเนินการในลักษณะเดียวกัน
ในการแถลงข่าวหลังการประชุมสภาบริหารของอีซีบีซึ่งได้ตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.75% นั้น นายดรากิกล่าวว่าอีซีบีอาจดำเนินการในตลาดการเงินในสัดส่วนที่เพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมาย
“นอกจากนี้ สภาบริหารอาจพิจารณาดำเนินมาตรการด้านนโยบายพิเศษต่อไปตามความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน"
นายดรากิกล่าวว่า ในช่วงหลายสัปดาห์ข้างหน้าจะมีการกำหนดแนวทางที่เหมาะสมสำหรับมาตรการด้านนโยบายดังกล่าว แต่เขากล่าวว่าการดำเนินการครั้งใหม่ของอีซีบีมีเงื่อนไขอยู่ที่รัฐบาลในประเทศยูโรโซนในการใช้กองทุนช่วยเหลือที่มีอยู่ในปัจจุบันก่อน
กระทรวงแรงงานของสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐเพิ่มขึ้น 163,000 ตำแหน่งในเดือนมิถุนายน สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในช่วงก่อนหน้านี้ที่ 100,000 ตำแหน่ง แต่อย่างไรก็ดี อัตราว่างงานได้เพิ่มขึ้นแตะ 8.3% จาก 8.2%