นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน กล่าวเตือนให้รัฐบาลปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้สะท้อนความเป็นจริง ไม่เช่นนั้นจะทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องมีภาระเพิ่มขึ้น และมีโอกาสประสบภาวะขาดทุนหนัก จากปัจจุบันที่มีสถานะติดลบ 1.5 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร และชะลอการปรับขึ้นราคา LPG ซึ่งมีแนวโน้มชะลอไปถึงสิ้นปีนี้ ถือเป็นนโยบายถอยหลังเข้าคลอง จากก่อนหน้านี้ที่รัฐบาลมีการปรับโครงสร้างราคาพลังงานตามราคาตลาด แต่เมื่อถูกแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อทำให้ต้องชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ทั้งที่ราคานำเข้า LPG ช่วงต้นปีสูงถึง 1,200 เหรียญสหรัฐ/ตัน และกลางปีลดลงเหลือ 590 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่ในเดือน ส.ค. ราคาได้ปรับขึ้นไปที่ 700 เหรียญสหรัฐ/ตัน
ทั้งนี้ หากไม่มีการปรับโครงสร้างราคาพลังงานก่อนการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)โดยเฉพาะ LPG การอุดหนุนค่าพลังงานจะกลายเป็นการอุดหนุนให้กับประชากรทั้ง AEC จำนวน 600 ล้านคน ขณะที่อัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลจัดเก็บในอัตราต่ำที่ 0.005 บาท/ลิตรส่งเข้ากองทุนน้ำมันเพียง 0.60 บาท/ลิตร และมีแนวโน้มจะนำเงินอุดหนุนราคาน้ำมัน อีกทั้งควรปรับราคาน้ำมันดีเซลตามราคาตลาด ขณะที่รัฐจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซิน 7 บาท/ลิตร แต่ส่งเข้ากองทุนน้ำมัน 7.10 บาท
สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันในครึ่งหลังปี 55 คาดว่าน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 90-105 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล น้ำมันดิบตลาดเบรนท์อยู่ที่ 95-110 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล น้ำมันเวสท์เท็กซัสอยู่ที่ 80-95 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่หากกรณีเลวร้ายสุดจากวิกฤติยุโรปที่กรีซออกจากยูโรโซนและสเปนขอความช่วยเหลือ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) อาจทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงเหลือ 70-75 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนโอกาสน้ำมันขึ้นถึง 200 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เป็นกรณีการเกิดสงครามตะวันออกกลาง ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย