สกุลเงินยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกในรอบ 4 วันทำการเมื่อคืนนี้ (13 ส.ค.) อย่างไรก็ตาม ยูโรแข็งค่าขึ้นในกรอบที่จำกัดและได้ลดช่วงบวกในตอนบ่าย เนื่องจากนักลงทุนไม่มั่นใจว่าธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) จะสามารถควบคุมวิกฤตหนี้สาธารณะได้
ค่าเงินยูโรร่วงลง 0.36% แตะที่ 1.2333 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.2289 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนตัวลง 0.02% แตะที่ 1.5687 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5690 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐขยับขึ้น 0.10% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 78.330 เยน จากระดับ 78.250 เยน และอ่อนตัวลง 0.32% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9738 ฟรังค์ จากระดับ 0.9769 ฟรังค์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลง 0.61% แตะที่ 1.0511 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.0575 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ดิ่งลง 0.61% แตะที่ 0.8081 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8131 ดอลลาร์สหรัฐ
สกุลเงินยูโรแข็งค่าขึ้นนับตั้งแต่นายมาริโอ ดรากิ ประธานอีซีบีกล่าวว่า "อีซีบีจะดำเนินการทุกอย่างที่จำเป็น เพื่อปกป้องยูโรโซน และขอให้เชื่อมั่นว่า การดำเนินการเช่นนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ยูโรโซนอยู่รอดปลอดภัย การจัดการกับต้นทุนการกู้ยืมที่ระดับสูงของรัฐบาลในยูโรโซนถือเป็นสิ่งที่อยู่ภายในขอบเขตอำนาจของอีซีบี" ทั้งนี้ แม้ถ้อยแถลงของนายดรากิถือเป็นการส่งสัญญาณว่า อีซีบีอาจะเข้าแทรกแซงตลาดพันธบัตร หลังจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของสเปนและอิตาลีได้ส่งผลกระทบต่อประเทศต่างๆในกลุ่มยูโรโซน แต่สกุลเงินยูโรก็เคลื่อนไหวในกรอบที่จำกัด เนื่องจากนักลงทุนไม่มั่นใจว่าอีซีบีจะสามารถควบคุมวิกฤตหนี้สาธารณะได้
สกุลเงินเยนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หลังจากญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่แท้จริงในไตรมาส 2 ปีนี้ ขยายตัวในอัตรา 1.4% ต่อปี และขยายตัว 0.3% เป็นรายไตรมาส ซึ่งแม้ว่าทำสถิติขยายตัวติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 4 แต่ก็ยังน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยายตัว 2.2% เป็นรายปี และขยายตัว 0.6% เป็นรายไตรมาส