สกุลเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (14 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจของยูโรโซน หลังจากมีรายงานว่าเศรษฐกิจยูโรโซนหดตัวลงในไตรมาส 2 ปีนี้ ขณะที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นขานรับยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐ
ค่าเงินยูโรอ่อนตัวลง 0.06% แตะที่ 1.2324 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันจันทร์ที่ 1.2331 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ค่าเงินปอนด์ทรงตัวอยู่ที่ 1.5682 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น 0.52% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 78.710 เยน จากระดับ 78.300 เยน และดีดขึ้น 0.05% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9742 ฟรังค์ จากระดับของวันจันทร์ที่ 0.9737 ฟรังค์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลง 0.22% แตะที่ 1.0490 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันจันทร์ที่ 1.0513 ดอลลาร์สหรัฐ และดอลลาร์นิวซีแลนด์ดิ่งลง 0.48% แตะที่ 0.8047 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8086 ดอลลาร์สหรัฐ
สกุลเงินยูโรได้รับแรงกดดันหลังจาสำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป หรือ ยูโรสแตท รายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของยูโรโซนในไตรมาส 2 ปีนี้ หดตัว 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ที่เศรษฐกิจขยายตัวในอัตรา 0% และเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จีดีพีไตรมาส 2/2555 ของกลุ่มประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร หดตัว 0.4%
ขณะที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นหลังจากกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเดือนก.ค.ของสหรัฐขยายตัว 0.8% ในเดือนก.ค. ทำสถิติขยายตัวสูงสุดในรอบ 4 เดือน และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% เนื่องจากอุปสงค์ที่ปรับตัวขึ้นในวงกว้างนับตั้งแต่รถยนต์ไปจนถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิก