นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ และประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์(ซีพี)กล่าวในการปาฐกถาพิเศษ"ชี้ทางนำไทยสู่จุดเปลี่ยนการค้าโลก"ว่า เศรษฐกิจในโลกในปีหน้ายังมีโอกาสที่แย่กว่าปีนี้ ดังนั้น รัฐบาลจะต้องเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศด้วยการเร่งส่งเสริมการลงทุนของภาคธุรกิจ ในขณะที่รัฐบาลเองก็ต้องเร่งนำเงินออกมาใช้ลงทุนโครงการขนาดใหญ่ให้เต็มที่ เพราะถือว่าเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติ ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างท่าเทียบเรือ, ระบบชลประทาน, ระบบโลจิสติกส์ และรถไฟความเร็วสูง เป็นต้น
ขณะเดียวกัน จากที่ในปัจจุบันประเทศไทยมีเงินทุนสำรองอยู่ในระดับสูง ดังนั้นธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ควรนำเงินสำรองบางส่วนปล่อยออกมาสู่ระบบ เพื่อให้ภาคเอกชนเกิดความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ
นายธนินท์ มองว่า รัฐบาลควรมีนโยบายที่ชัดเจนในการส่งเสริมการปลูกพืชพลังงาน เช่น ปาล์มน้ำมัน, อ้อย และมันสำปะหลัง เพื่อนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเอทานอล หรือไบโอดีเซล เนื่องจากมองว่าพืชพลังงานเหล่านี้จะให้ผลให้เชิงมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่าการปลูกข้าว เพียงแต่รัฐบาลจะต้องมีแผนรองรับในอนาคตอีก 5-10 ปีข้างหน้าที่ชัดเจนว่าจะใช้เอทานอลมาทดแทนเบนซินปีละเท่าใด หรือจะใช้ปาล์มน้ำมันมาทำเป็นไบโอดีเซลได้ปีละเท่าใด เป็นต้น
พร้อมกันนั้น ยังแนะนำให้รัฐบาลหันมาผลักดันอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ให้ขึ้นไปอยู่ในลำดับที่ 2 หรือ 3 ของโลก จากปัจจุบันที่ไทยอยู่ในลำดับที่ 4 เนื่องจากปัจจุบันค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศได้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความพร้อมของไทยในจุดนี้ โดยรัฐบาลจะต้องหันมาพัฒนาคุณภาพบุคลากรเพื่อมารองรับกับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กำลังจะเติบโตในอนาคต
นายธนินท์ ยังแสดงความเห็นด้วยต่อนโยบายการรับจำนำข้าวของรัฐบาล โดยจากที่ได้พูดคุยกับเกษตรกรแล้วต่างเห็นว่าการรับจำนำดีกว่าการประกันราคา และยังไม่ห่วงว่านโยบายรับจำนำข้าวและการผลักดันราคาจะทำให้ประเทศไทยจะเสียแชมป์การส่งออกข้าว เพราะมองว่าการแข่งขันของข้าวไทยในตลาดโลกควรจะเป็นการแข่งขันในด้านคุณภาพมากกว่าปริมาณ
“แม้ไทยจะเสียแชมป์อันดับ 1 ถ้าข้าวถูกเราไม่แข่ง ต้องแข่งข้าวมีคุณภาพ ราคาดี การเป็นแชมป์จะไม่มีประโยชน์ถ้าขายข้าวราคาถูก สุดท้ายชาวนาก็เสียหาย และรัฐบาลก็เสียหายจากการขายราคาถูก"นายธนินท์ กล่าว พร้อมมองว่าในอนาคตคู่แข่งที่สำคัญของไทยในเรื่องการส่งออกข้าว คือ พม่า ไม่ใช่เวียดนาม เพราะเวียดนามมีพื้นที่เพาะปลูกในปริมาณจำกัด ดังนั้น รัฐบาลควรส่งเสริมให้นักธุรกิจของไทยไปซื้อข้าวจากพม่าและนำไปขายต่อในตลาดอื่น