นายวีระพล จิรประดิษฐกุล อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เปิดเผยถึงภาพรวมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเดือนก.ค.ว่า ปรับลดลงจากเดือนมิถุนายนเกือบทุกชนิด เนื่องจากเดือนกรกฎาคม เป็นช่วงฤดูฝนทำให้มีการเดินทางท่องเที่ยวลดลง และเป็นช่วงที่หมดฤดูการเกษตร รวมถึงราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ความต้องการใช้พลังงานลดลง
โดยกลุ่มเบนซินมีปริมาณการใช้อยู่ที่ 20.19 ล้านลิตร/วัน ลดลง 4.5% เมื่อเทียบกับเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา แบ่งเป็น เบนซิน 91 และเบนซิน 95 การใช้อยู่ที่ 8.66 ล้านลิตร/วัน ลดลง 6.5% ส่วนกลุ่มแก๊สโซฮอล์ มีการใช้อยู่ที่ 11.54 ล้านลิตร/วัน ลดลง 3% ส่วนดีเซลมีปริมาณการใช้อยู่ที่ 53.58 ล้านลิตร/วัน ลดลง 5.5% ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ หรือ เอ็นจีวี มีการใช้อยู่ที่ 7.55 ล้านกิโลกรัม/วัน ลดลง 3.1%
สำหรับปริมาณการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือ แอลพีจี มีปริมาณการใช้อยู่ที่ 623,152 ตัน เพิ่มขึ้น 5.3% แบ่งเป็น แอลพีจีภาคครัวเรือน มีการใช้อยู่ที่ 255,928 ตัน เพิ่มขึ้น 2.2% แอลพีจีภาคอุตสาหกรรม อยู่ที่ 53,758 ตัน เพิ่มขึ้น 5.9% แอลพีจีภาคขนส่ง อยู่ที่ 88,822 ตัน เพิ่มขึ้น 3.4% แออลพีจีปิโตรเคมี อยู่ที่ 224,644 ตัน เพิ่มขึ้น 9.8%
ขณะที่ปริมาณการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงในเดือนก.ค.โดยรวมอยู่ที่ 865,000 บาร์เรลต่อวัน ลดลง 7.1% คิดเป็นมูลค่า 85,201 ล้านบาท แบ่งเป็น การนำเข้าน้ำมันดิบ 809,000 บาร์เรล/วัน ลดลง 6.7% น้ำมันสำเร็จรูป 55,000 บาร์เรล ลดลง 12.6% ขณะที่การนำเข้าแอลพีจีอยู่ที่ 106,467 ตัน คิดเป็นมูลค่า 2,227 ล้านบาท ส่งผลให้รัฐบาลต้องจ่ายเงิยชดเชยประมาณ 1,100 ล้านบาท
ส่วนการส่งออกอยู่ที่ 163,000 บาร์เรล/วัน ลดลง 29.3% คิดเป็นมูลค่า 17,567 ล้านบาท
นายวีระพล กล่าวถึงแนวโน้มการใช้น้ำมันในเดือนส.ค.ว่า คาดว่าจะปรับเพิ่มสูงขึ้นจากในเดือนก.ค. โดยคาดว่าการใช้น้ำมันกลุ่มเบนซินจะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 21.2 ล้านลิตร/วัน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากนโยบายของรัฐบาลในการดูแลราคาพลังงานเพื่อลดภาระของประชาชนในช่วงน้ำมันแพง ขณะที่ดีเซลจะลดลงมาอยู่ที่ 50.2 ล้านลิตรต่อวัน ส่วนการใช้แอลพีจี คาดว่าจะใกล้เคียงกับเดือนก.ค. ที่ 626,000 ตัน/เดือน เนื่องจากยังอยู่ในช่วงฤดูมรสุม
สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ EIA ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในครึ่งปีหลังว่า น้ำมันดิบเบรนท์จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 103 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบเวสเท็กซัสอยู่ที่ 90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
นายวีระพล กล่าวถึงเรื่องการเก็บสำรองน้ำมันของภาคเอกชน ที่กระทรวงพลังงานมีนโยบายให้เก็บเพิ่มจาก 5% เป็น 6% หรือจาก 36 วัน เป็น 45 วันว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา เนื่องจากมีมติของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ให้ชะลอการประกาศบังคับใช้ออกไป เนื่องจากมีภาคเอกชนหลายรายมีปัญหาไม่มีถังเก็บน้ำมันเพียงพอ ขณะเดียวกันโรงกลั่นบางจากยังปิดซ่อมหน่วยกลั่นน้ำมันดิบ หน่วยที่ 3 และมีกำหนดเปิดภายในวันที่ 7 ตุลาคมปีนี้ และหลังจากเปิดเดินเครื่องหน่วยกลั่นก็ต้องมีการทดลองเดินเครื่องจึงคาดว่าตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน จึงจะเดินเครื่องผลิตได้เต็มที่ โดยให้ภาคเอกชนแต่ละรายขอผ่อนผันเข้ามา
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการได้ขอเวลาในการก่อสร้างถังเก็บน้ำมันเป็นเวลา 2-3 ปี ก่อนที่จะเพิ่มการสำรองน้ำมันเป็น 6% ซึ่งระหว่างนี้จึงเป็นการรวบรวมปัญหาของผู้ประกอบการทั้งหมด ก่อนที่จะมีการพิจารณาอีกครั้งหนึ่งว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป