นายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวในงานเสวนา "รัฐบาลยิ่งลักษณ์ในสายตานักบริหาร...สอบผ่าน หรือสอบตก"ว่า ให้คะแนนรัฐบาลสอบผ่านในการขับเคลื่อนนโยบายที่สนับสนุนภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายบ้านหลังแรก ตลอดจนวงเงินกู้ซื้อที่อยู่อาศัยในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งถือว่าช่วยเหลือประชาชนให้มีความสามารถในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้
อย่างไรก็ดี มองว่ารัฐบาลควรนำนโยบายการลดค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนองกลับมาใช้ เพื่อช่วยกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจต่อเนื่องให้เติบโต เพราะมองว่าภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่มีผลต่อเนื่องกับธุรกิจอื่นๆ อีกหลายประเภท เช่น ปูนซีเมนต์, เหล็กเส้น, เฟอร์นิเจอร์, วัสดุอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน เป็นต้น
พร้อมมองว่า ในระยะยาวรัฐบาลจะต้องเร่งหาแนวทางวางโครงสร้างภาคแรงงาน เพราะต้องยอมรับว่า 2 ปัจจัยที่จะกระทบให้ราคาบ้านสูงขึ้นมาจากการปรับค่าแรงขั้นต่ำ และราคาที่ดินเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลต่อราคาบ้านปรับขึ้นด้วย โดยปัจจุบันราคาบ้านได้ปรับขึ้นแล้ว 5% และมีแนวโน้มจะปรับเพิ่มขึ้นอีกในปีหน้า
ส่วนปัญหาอุทกภัยในปลายปีก่อนได้สร้างผลกระทบต่อการก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบในปีนี้เป็นอย่างมาก เพราะทำให้ในปีนี้โครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ เปิดตัวโครงการลดลงไปถึง 40% จากปีก่อน ในขณะที่ที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม, อาคารชุด มีการเปิดตัวโครงการเพิ่มขึ้นถึง 60%
นายอิสระ ยังต้องการให้รัฐบาลแถลงความคืบหน้าในการดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำมูลค่า 3.5 แสนล้านบาทเป็นประจำทุกเดือน เพื่อให้นักธุรกิจและประชาชนได้รับทราบว่ามีความคืบหน้า หรือปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการอย่างไร และที่สำคัญจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนจากการได้รับทราบความคืบหน้าโครงการที่มีความเป็นรูปธรรมมากขึ้นเป็นระยะ
ด้านนายทัศพล แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า ในภาคธุรกิจการบินให้รัฐบาลสอบผ่านเช่นกันโดยให้คะแนนเกินครึ่ง เนื่องจากเห็นความพยายามของรัฐบาลที่จะกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวและยกระดับธุรกิจการบินในประเทศจากการเปิดสนานบินสุวรรณภูมิเฟส 2 เพื่อลดความแออัดของสนามบินสุวรรณภูมิ และหันมาใช้สนามบินดอนเมือง โดยภาคเอกชนคาดหวังว่าสนามบินดอนเมืองจะเปิดบริการได้จริงในวันที่ 1 ต.ค.นี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว
"เป็นครั้งแรกที่มองว่า เมื่อเห็นว่าธุรกิจนี้(ท่องเที่ยว)เติบโต แล้วจะมีการทำอะไรรองรับ ผมให้คะแนนรัฐบาลชุดนี้ผ่าน" นายทัศพล กล่าว
นายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ระบุว่า ให้รัฐบาลชุดนี้สอบผ่านเช่นกัน จากการที่รัฐบาลได้ให้การช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัยในปีที่ผ่านมา ซึ่งอุตสาหกรรมยานยนต์ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ประกอบกับรัฐบาลมีโครงการรถยนต์คันแรกที่ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนจึงถือว่าเป็นการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ได้เป็นอย่างดี
"ปีที่แล้วมีรถยนต์ที่เสียหายจากน้ำท่วมถึง 3 แสนคัน ทำให้ส่งออกรถยนต์ได้เพียง 1.45 ล้านคัน จากที่ตั้งเป้าไว้ 1.8 ล้านคัน แต่ปีนี้รัฐบาลได้พยายามแก้ไขเข้าไปช่วยเหลือนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 7 แห่งที่จมน้ำ ทำให้รถยนต์ฟื้นตัวได้เร็วมาก ตั้งแต่มี.ค.-มิ.ย.เราทุบสถิติทุกเดือน และเดือน ก.ค.เราประกอบรถยนต์ได้ถึง 212,000 คัน ซึ่งไม่เคยมากเท่านี้มาก่อน" นายศุภรัตน์ กล่าว
ขณะที่ในปีนี้ ตั้งเป้าการผลิตรถยนต์ไว้ที่ 2.2-2.3 ล้านคัน โดยเป็นการผลิตเพื่อส่งออก 1 ล้านคัน และเพื่อจำหน่ายในประเทศราว 1.2 ล้านคัน
นายศุภรัตน์ ยังเชื่อมั่นว่านักลงทุนญี่ปุ่นจะไม่ย้ายฐานการผลิตออกจากไทยไปลงทุนในประเทศอื่นหลังจากประสบปัญหาโรงงานเสียหายจากเหตุน้ำท่วม เนื่องจากประเทศไทยมีข้อได้เปรียบประเทศอื่นๆ ในอาเซียนหลายด้าน เช่น มีเครือข่ายผู้ผลิตชิ้นส่วนที่ดีที่สุดในอาเซียน, ไม่มีปัญหาด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน, ไทยมีแรงงานที่มีทักษะและฝีมือดีเป็นที่ยอมรับ
"เราคิดว่าเราดึงดูดนักลงทุนได้มาก ส่วนเรื่องการเมืองแม้จะมีปัญหาอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคมาก ผมมองว่ารัฐบาลมีความตั้งใจในการทำงาน และให้ความสำคัญกับภาคเอกชนมาก ผมให้ผ่านเกิน 60%" นายศุภรัตน์ กล่าว
อย่างไรก็ดี อยากให้รัฐบาลมีโรดแมปด้านการลงทุนที่แน่นอน ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาลก็จะต้องไม่เปลี่ยนแผนในส่วนนี้ เนื่องจากภาคเอกชนต้องมีการวางแผนการลงทุนที่ถูกต้องในอนาคต เพราะเป็นการลงทุนในระยะยาว ซึ่งหากทำได้ก็จะยิ่งเสริมความมั่นใจให้นักลงทุนได้มากขึ้น
ส่วนนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ระบุว่า ในความเห็นของภาคการลงทุนแล้วให้รัฐบาลสอบผ่านการทำงานในรอบ 1 ปี โดยสะท้อนได้จากภาคการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่ดัชนี SET ปรับตัวเพิ่มขึ้น 20% จากต้นปี ซึ่งถือว่าเป็นอันดับที่ 1 ในเอเชีย และเป็นที่ 3 ของโลกรองจากตรุกี และเดนมาร์ก โดยมีมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท/วัน ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ดี ทั้งนี้ หากพิจารณาตั้งแต่ต้นปีสามารถถึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติเข้ามาได้ถึง 7 หมื่นล้านบาท ดังนั้นจึงสะท้อนว่ารัฐบาลทำได้ในภาคของตลาดทุน