ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัฒน์ รมว.อุตสาหกรรม เชื่อว่ายอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในปีนี้จะอยู่ที่ 8 แสนล้านบาท มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 6.3 แสนล้านบาท เนื่องจากล่าสุดพบว่ายอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 5.7 แสนล้านบาทแล้ว เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 61%
ดังนั้น จึงคาดว่าเมื่อรวมกับอีก 5 เดือนที่เหลือ ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนของปีนี้จะทำได้ไม่ต่ำกว่า 8 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ เหตุผลสนับสนุนที่จะทำให้ยอดขอรับการส่งเสริมลงทุนเกินเป้า เนื่องจากประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อโครงการต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย โครงการรถไฟรางคู่ และโครางการท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง
พร้อมมองว่า รัฐบาลได้ดำเนินการวางกรอบในเรื่องการลงทุน ด้านโครงสร้างพื้นฐานมาอย่างถูกทางแล้ว และยังช่วยให้สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศได้อีกทางหนึ่ง
ขณะเดียวกัน เห็นว่า นักลงทุนต่างชาติยังมีความมั่นใจในรัฐบาลชุดนี้ รวมถึงยังมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจะทำให้เงินลงทุนยังไหลเข้ามาในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง
รมว.อุตสาหกรรม ยังแสดงความเห็นถึงการส่งออกในปีนี้ที่หลายหน่วยงานประเมินว่าจะไม่เป็นไปตามเป้าหมายของกระทรวงพาณิชย์ที่ตั้งไว้ 15% ว่า การส่งออกในปีนี้หากสามารถเติบโตได้ที่ระดับ 9-10% ก็ไม่ถือว่าน้อย เมื่อเทียบกับยอดการส่งออกที่มีมูลค่าในระดับล้านล้านบาทต่อปี ซึ่งแม้การส่งออกอาจจะโตได้ไม่ถึงเป้าหมาย 15% ก็เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน เพราะอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ(GDP)ของไทยในปีนี้ ยังน่าจะเติบโตได้ถึง 5.5% ซึ่งถือว่าดีกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะเติบโตได้ 3-5%
ด้านนางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) กล่าวว่า ยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้(ม.ค.-ก.ค.55) อยู่ที่ 5.7 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเกือบเท่าตัว ซึ่งถ้ารวมกับอีก 5 เดือนที่เหลือ(ส.ค.-ธ.ค.) ก็น่าจะทำให้ทั้งปีเกินเป้าที่ตั้งไว้ที่ 6.3 แสนล้านบาท ซึ่งมีความเป็นไปได้ตามเป้าหมายใหม่ที่ รมว.อุตสาหกรรม คาดว่าจะมียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนถึง 8 แสนล้านบาทในปีนี
"เป้าหมายยอดการขอรับส่งเสริมการลงทุน 8 แสนล้านบาท ถือว่าทำลายสถิติตั้งแต่จัดตั้งบีโอไอมา ซึ่งสูงกว่าปีก่อนที่มียอดขอรับส่งเสริมการลงทุนอยู่ที่ 6.7 แสนล้านบาท" เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว
พร้อมระบวุ่า ยังมีนักลงทุนยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มยานยนต์, ปิโตรเคมี, อิเล็กทรอนิกส์ และพลังงานทดแทน ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นกลุ่มหลักที่สำคัญของการขอรับส่งเสริมการลงทุนในปีนี้รวมทั้งในอนาคตด้วย
เลขาธิการบีโอไอ ยังกล่าวด้วยว่า ขณะนี้บีโอไออยู่ระหว่างการปรับปรุงเงื่อนไขในการให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ในการลงทุน ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาทบทวนอีก 3-4 สัปดาห์จะแล้วเสร็จ โดยการปรับเงื่อนไขดังกล่าวจะเน้นการให้ความสำคัญกับประเภทของกิจการมากขึ้น ปรับลดการให้สิทธิประโยชน์แก่กิจการประเภทที่ใช้แรงงานสูง รวมทั้งจะมีการทบทวนโซนนิ่งใหม่ด้วย