นางนลินี ทวีสิน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างเป็นประธานเปิดงานภาคการประชุม “การนำเสนอผลงานวิจัยแห่งชาติ 2555 และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ปฏิรูประบบวิจัย เพื่อพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน" ว่า การวิจัยเป็นเครื่องมือสำคัญประการหนึ่งในการพัฒนาประเทศ โดยรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการวิจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายสังคมและคุณภาพชีวิต นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัย และนวัตกรรม แต่เมื่อพิจารณาถึงระบบการวิจัยของประเทศตั้งแต่อดีตเป็นต้นมาจะพบว่า เรายังประสบกับปัญหาและอุปสรรคในการไปสู่เป้าหมายดังกล่าว เนื่องจากการทำงานมีความซ้ำซ้อนและขาดทิศทางที่แน่นอน ขาดการส่งเสริมให้มีการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมและจริงจัง หรือที่เรียกกันว่า งานวิจัยขึ้นหิ้ง
นอกจากนั้น ยังขาดการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งในระดับนโยบายการบริหารจัดการทุนวิจัย และการดำเนินการวิจัย รวมทั้งขาดการเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานวิจัยกับผู้ที่จะใช้ผลงานวิจัย
สำหรับแนวทางการปฏิรูประบบวิจัยของประเทศ คือ การกำหนดนโยบายและเป้าหมายของการวิจัยที่มีความชัดเจน โดยจัดลำดับความสำคัญของประเด็นที่จำเป็นและเร่งด่วน และมีผลกระทบในวงกว้างไว้ในลำดับต้น ๆ การสร้างเอกภาพการจัดสรรทุนวิจัยของประเทศ ต้องมีกลไกสนับสนุนให้มีการนำความรู้จากการวิจัยไปใช้ประโยชน์ให้มากขึ้น ชุมชนหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรมีส่วนร่วมในการผลักดันความรู้จากงานวิจัยลงสู่ชุมชน ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจก็ควรผลักดันผลผลิตจากการวิจัยสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์
นอกจากนี้ ต้องมีกลไกที่จะกระตุ้นให้นักวิจัยทำงานวิจัยในสายพัฒนาชุมชนให้มากขึ้น โดยให้สามารถใช้ผลงานดังกล่าว เพื่อความก้าวหน้าในตำแหน่งวิชาการได้ ต้องสร้างแหล่งความรู้และการเข้าถึงแหล่งความรู้ พัฒนานักวิจัยและบุคลากรด้านการวิจัยทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ โดยต้องผลิตกำลังคนให้ตรงกับความต้องการของผู้ที่จะใช้งาน ติดตามและประเมินผลการวิจัยในภาพรวมของประเทศ จัดหาและการบริหารจัดการทรัพยากรสำหรับงานวิจัยอย่างเหมาะสมและพอเพียงทั้งในเรื่องของทุนและเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ในการวิจัย โดยมีสิ่งท้าทาย คือ การค้นคว้าและวิจัย เพื่อเตรียมรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน