นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า รัฐมนตรีเอเปคจะเสนอให้ที่ประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคที่จะประชุมกันในวันที่ 8-9 ก.ย.55 ประกาศย้ำจุดยืนในการสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคีเพื่อให้การเจรจาในองค์การการค้าโลก(ดับบลิวทีโอ) รอบโดฮาสามารถปิดรอบได้ หลังจากที่การเจรจาไม่มีความคืบหน้า ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่ต้องเจรจาให้จบมานานแล้ว เพื่อสนับสนุนให้การค้าโลกมีความคล่องตัว และเกิดประโยชน์กับประเทศกำลังพัฒนา
ขณะเดียวกัน จะเสนอให้ผู้นำเอเปคผลักดันให้สมาชิกปรับปรุงกฎระเบียบการค้าเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการจัดทำเขตการค้าเสรีของเอเปคในอนาคต หลังจากที่ผ่านมาเอเปคได้มีความร่วมมือในด้านการอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกันมานานแล้ว นอกจากนี้จะผลักดันให้เอเปคส่งเสริมการเจริญเติบโตสีเขียวเพื่อรับมือกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ(ไอที) ในการขับเคลื่อนการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของเอเปค และสร้างสภาพแวดล้อมด้านอิเล็กทรอนิกส์ที่ปลอดภัย การเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร และการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานในเอเปค เป็นต้น
นายบุญทรง ยังกล่าวถึงประเด็นด้านการค้าสินค้าสิ่งแวดล้อมว่า เอเปคได้ตกลงที่จะลดภาษีสินค้าสิ่งแวดล้อมในเหลือ 0-5% ภายในปี 58 โดยตกลงกันได้ถึง 54 รายการ ในจำนวนนี้มีสินค้าที่ไทยเสนอ 20 รายการ โดยรายการสินค้าสิ่งแวดล้อมหลักๆ ที่จะลดภาษี เช่น หม้อไอน้ำชีวมวล กังหันก๊าซ กังหันลม เตาเผาขยะ เครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องจักรสำหรับทำอากาศหรือก๊าซให้เป็นของเหลว เครื่องจักรกลที่ใช้สำหรับการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ชุดเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขับด้วยกำลังลม เครื่องมือตรวจวัดคุณภาพอากาศ เป็นต้น
"ไทยจะได้รับประโยชน์ในเรื่องนี้อย่างมาก เพราะสินค้าหลายอย่างไทยยังต้องนำเข้า เนื่องจากไม่มีการผลิต หรือเทคโนโลยียังไม่สูงพอ ก็จะทำให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบการได้ซื้อสินค้าในราคาถูกลง และมีผลดีต่อสิ่งแวดล้อมของไทย ทั้งในด้านการจัดการน้ำเสีย การจัดการขยะ และการใช้พลังงานสะอาด ในขณะที่สมาชิกเอเปคบางประเทศยังมีกำแพงภาษีสินค้าบางรายการสูงถึง 35% ดังนั้น การลดภาษีจะช่วยให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันได้มากขึ้น สินค้าสิ่งแวดล้อมส่งออกสำคัญของไทย เช่น ชิ้นส่วนอุปกรณ์สำหรับกระจกรับแสงอาทิตย์ ชิ้นส่วนอุปกรณ์เครื่องจักรไฟฟ้า/อุปกรณ์ไฟฟ้า ส่วนประกอบของเครื่องจักร/อุปกรณ์ที่ใช้กรองของเหลวหรือก๊าซ เป็นต้น" นายบุญทรง กล่าว