นักลงทุนและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่พากันจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ของนาย เหวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีจีน บนเวทีการประชุม "เวิลด์ อีโคโนมิค ฟอรัม" ที่เมืองเทียนจิน ซึ่งแม้ว่านายเหวินได้แสดงความมั่นอกมั่นใจว่า เศรษฐกิจของจีนจะขยายตัวได้ตามเป้าหมายในปีนี้ที่ 7.5% แต่เขาก็ส่งสัญญาณต่อที่ประชุมว่า "รัฐบาลจีนอาจจะใช้เงินจากกองทุนรักษาเสถียรภาพทางการคลัง วงเงิน 1.00 แสนล้านหยวน หรือ 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ"
การส่งสัญญาณกระตุ้นเศรษฐกิจของผู้นำจีนมีขึ้นหลังจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว 6 ไตรมาสติดต่อกัน แม้ว่าจีนได้ใช้มาตรการนำร่องไปแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ย, การลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ และการปรับอัตราภาษี แต่ก็ยังไม่สามารรถยับยั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจได้ โดยเฉพาะภาคการผลิตของจีนที่ขยายตัวต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2552
นอกจากนี้ ความเคลื่อนไหวของนายเหวินยังมีขึ้นหลังจากจีนอนุมัติแผนการสร้างถนนซึ่งมีความยาว 2,018 กิโลเมตร (1,254 ไมล์) และยังได้อนุมัติโครงการทางเดินรถไฟในชนบท 25 โครงการ ซึ่งอาจมีมูลค่ากว่า 8 แสนล้านหยวน (1.2698 แสนล้านดอลลาร์) โดยมีเป้าหมายที่จะฟื้นฟูการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
ด้านประธานาธิบดี หู จิ่นเทา ของจีน ได้กล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า จีนจะสนับสนุนโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมกับกล่าวว่า จีนมีจุดยืนที่ชัดเจนว่าการก่อสร้างโครงการสาธารณูปโภคถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจให้ขยายตัวอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันจีนจะมุ่งเน้นในเรื่องการผลักดันเศรษฐกิจให้ขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพ ควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ, ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น และดำเนินการปฏิรูปอย่างสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจของประเทศในปี้
นายซู ฉางเลอ ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ระดับภูมิภาคจากมหาวิทยาลัยอีสท์ ไชน่า นอร์มอลกล่าวว่า ความเคลื่อนไหวในครั้งนี้ถือเป็นความพยายามล่าสุดของรัฐบาลเพื่อสร้างเสถียรภาพของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ความต้องการภายนอกยังคงอ่อนแอ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐประสบภาวะหดตัวมากขึ้นและยุโรปกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย
ด้านนักลงทุนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นว่า รัฐบาลจีนจะไม่ยอมให้เศรษฐกิจย่ำแย่ไปมากกว่าที่ผ่านมา หลังข้อมูลเศรษฐกิจต่างๆบ่งชี้ถึงความอ่อนแอของภาคการผลิตและส่งออก ซึ่งกระแสคาดการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบเดือนในระยะนี้ ขานรับข่าวที่ว่า รัฐบาลจีนจะดำเนินการเพื่อกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจหลังจากที่ข้อมูลการค้าต่ำกว่าการคาดการณ์ ในขณะที่อัตราการขยายตัวของผลผลิตภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี
ข้อมูลเศรษฐกิจเดือนสิงหาคมบ่งชี้ว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจีนเพิ่มขึ้น 8.9% ในเดือนสิงหาคมเมื่อเทียบเป็นรายปี ในขณะที่อัตราการขยายตัวของการลงทุนในทรัพย์สินถาวรในช่วง 8 เดือนแรกของปีลดลง 20.2% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ ขณะเดียวกันมีรายงานว่า ดัชนีราคาผู้ผลิตของจีนยังคงปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกันโดยลดลง 3.5% ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 2% ในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน ส่วนยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 13.2% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนดังกล่าว ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่
อย่างไรก็ตาม บาร์เคลย์สคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะยังคงฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ พร้อมกับคาดว่ารัฐบาลจีนจะใช้มาตรการเพิ่มเติมในไตรมาส 3 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะสามารถเติบโตได้ในอัตรา 8% ในปี 2555
"เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ที่ขยายตัวได้ 7.6% แล้ว เราเชื่อว่า จีดีพีไตรมาส 3 และ 4 ของจีนจะขยายตัวราว 7.7% และ 8.1% ตามลำดับ" นายหวง หยิงปิง หัวหน้านักวิเคราะห์ด้านตลาดเกิดใหม่ในเอเชียของบาร์เคลย์ส แคปิตอลกล่าว
บาร์เคลย์ส คาดว่าจีนจะยังคงใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินในช่วงหลายเดือนข้างหน้านี้ เมื่อพิจารณาจากอุปสงค์และกิจกรรมทางเศรษฐกิจอ่อนแอลง ขณะที่ยอดการส่งออกและตัวเลขเงินเฟ้อก็ชะลอตัวลงด้วย นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อของจีนยังคงอยู่ในระดับที่สูงมาก
ทั้งนี้ บาร์เคลย์สคาดว่า ธนาคารกลางจีนจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในไตรมาส 3 เพื่อกระตุ้นอุปสงค์ให้แข็งแกร่งขึ้น และคาดว่าธนาคารกลางจีนจะปรับลดเพดานกันสำรองเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลงอีก 2 ครั้งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
กระแสคาดการณ์ที่ออกมาเป็นระลอก และการส่งสัญญาณจากผู้นำของรัฐบาลจีนเองนั้น ทำให้ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นต่างๆคึกคักเป็นอย่างมาก .. แต่ก็คงต้องเกาะติดสถานการณ์กันต่อไปว่า จีนจะทำให้สัญญาณดังกล่าวนั้น เป็นจริงมากเพียงไร