นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตร MPA สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) คาดว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยใน 2 ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้น่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในไตรมาสที่ 3 เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ 5.5% และไตรมาสสุดท้ายขยายตัวได้สูงถึง 10% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
"การขยายตัวที่เพิ่มขึ้นถึง 2 หลักในไตรมาสที่ 4 นั้นมาจากฐานรวมเศรษฐกิจที่ติดลบจากผลกระทบน้ำท่วมแล้ว ยังมีแรงกระตุ้นจากการใช้จ่ายงบประมาณปี 2556 แบบขาดดุล ที่เริ่มใช้ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ รวมถึงเศรษฐกิจไทยยังได้รับแรงสนับสนุนจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ส่งสัญญาณในทิศทางที่เป็นบวก หลังมีความคืบหน้าในการแก้ปัญหาวิกฤตหนี้ยุโรป รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)" นายมนตรี กล่าว
ทั้งนี้ การที่ทิศทางเศรษฐกิจของไทยในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 ของปี 2555 สามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ภายใต้ความกังวลในภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซาจากปัญหาหนี้สาธารณะของ EU และภาวะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่ผันผวนนั้น มาจากแรงขับทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจทั้งภายในประเทศ และการขยายตัวทางเศรษฐกิจของทวีปเอเชีย โดยเฉพาะอาเซียนที่กำลังตื่นตัวเรื่องการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ในปี 2558 นั้น เป็นปัจจัยดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนเพิ่มมากขึ้น จากการเตรียมความพร้อมและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของแต่ละประเทศ โดยประเทศไทยมีงบประมาณในส่วนนี้ 2.27 ล้านบาทภายใน 7 ปีข้างหน้า ซึ่งจะมีผลทำให้ภาวะเศรษฐกิจของแต่ละประเทศในอาเซียนมีทิศทางการขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น นับได้ว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยบวกในการทำให้ภาวะเศรษฐกิจของไทยขยายตัว
นอกจากนี้ การที่ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมนีมีมติอนุมัติให้สัตยาบันรับรองกองทุนกลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป(ESM) เพื่อปูทางเครื่องมือกู้วิกฤตอื่นๆ ให้ดำเนินการได้ พร้อมกับการที่ฝรั่งเศสออกมาสนับสนุนการแก้ไขปัญหาของกรีซ ด้วยมาตรการรัดเข็มขัด และสนับสนุนให้กรีซอยู่ในยูโรโซนต่อไป ก็นับได้ว่าเป็นการส่งสัญญาณในทางที่ดีต่อภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งเป็นผลดีต่อเนื่องมาถึงทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย
ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่ส่งสัญญาณความผันผวน โดยการประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบที่ 3(QE3) ด้วยการเข้าซื้อหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน(MBS) วงเงิน 4 หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ต่อเดือน และขยายเวลาการคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเป็นพิเศษออกไปจนถึงกลางปี 2558 พร้อมกับการใช้มาตรการโอเปอร์เรชั่นทวิสต์ ซึ่งก่อนหน้านี้ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ทำท่าว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นจากอัตราการว่างงานที่ลดลง แต่สัญญาณการฟื้นตัวดังกล่าว เป็นเพียงการฟื้นตัวอย่างเปราะบางและในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ทั้งนี้แม้การดำเนินมาตรการ QE3 จะสะท้อนได้ถึงภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ส่งสัญญาณไม่สู้ดี แต่การดำเนินมาตรการดังกล่าวจะมีผลทำให้ค่าเงินสหรัฐอ่อนค่าลง ราคาทองคำจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
ในส่วนของประเทศญี่ปุ่นยังคงอยู่ในสถานการณ์ฟื้นตัวในระดับที่ค่อยเป็นค่อยไป ด้วยการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีที่ร้อยละ 2.9 และร้อยละ 3.2 ในไตรมาสที่ 2 ทั้งนี้ ภาคการผลิตของญี่ปุ่นส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้นตามลำดับ โดยล่าสุดยอดการสั่งซื้อเครื่องจักรพื้นฐานของภาคเอกชนเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 ขณะที่ทิศทางการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่ม BRICS ชะลอตัวลงเกินคาดในหลายประเทศ แต่สถานการณ์โดยรวมยังไม่น่ากังวล ทั้งนี้เศรษฐกิจประเทศจีนเองก็ยังคงใช้มาตรการทางการเงิน และการคลังเพื่อการสนับสนุนการขยายตัว และเป้าหมายทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
"หากสถานการณ์ปัญหาหนี้สาธารณะของยุโรปไม่เลวร้ายไปกว่านี้ รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาส่งสัญญาณดีขึ้น ภาคการท่องเที่ยวของไทยจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศเกิดการขยายตัว เมื่อรวมกับนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นนโยบายรถคันแรกที่ยืดเวลาการการดำเนินการออกไป จะช่วยกระตุ้นภาคการผลิตยานยนต์ ขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นไปถึงปี 2556 รวมถึงแรงหนุนของปลายงบประมาณ และการเร่งใช้จ่ายงบประมาณปีนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดได้ว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 ของปี 2555 จะสามารถขยายตัวได้ประมาณ 5.5% และ 10.0% ตามลำดับ จึงประมาณการณ์ได้ว่า โดยภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2555 จะสามารถขยายตัวได้ทั้งปีประมาณ 5.0%" นายมนตรี กล่าว