นักวิชาการระบุน้ำท่วมหนุนดีมานคอนโดฯ-ตจว.คึก, มองอสังหาฯไทยยังไม่พร้อมรับ AEC

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday September 19, 2012 12:52 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

รศ.มานพ พงศทัต อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ในปี 55 ประเมินว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่เป็นคอนโดมิเนียมจะขยายตัวในอัตราสูงต่อเนื่องจากปีก่อน โดยคาดว่าจะขยายตัวถึง 60% จากปีก่อนที่ขยายตัว 50% ส่วนบ้านเดียว คาดว่าขยายตัว 20% และทาวเฮ้าส์ขยายตัว 25% ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีมากขึ้น สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ ประกอบกับสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นปลายปีก่อน ทำให้ผู้บริโภคหันมาซื้อคอนโดมิเนียมมากขึ้นด้วย

"คอนโดระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เป็นที่ต้องการของตลาดมากที่สุด เนื่องจากมีมากถึง 70% ของคอนโดทั้งหมด ส่วนบ้านเดี่ยว ทาวเฮ้าส์ชะลอตัวลงหลังเกิดน้ำท่วม...ปีนี้ยังเชื่อว่าน้ำจะยังท่วมอยู่ แต่มีการระบายได้เร็ว ทำให้คนกทม.โดยเฉพาะย่านบางบัวทอง รังสิต มีความกังวล หันมาช่วยเหลือตัวเอง ทำให้บ้านใหม่ขายออกได้ช้า และคนหันไปซื้อคอนโดกัน" รศ.มานพ กล่าว

สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัดพบว่ามีการขยายตัวต่อเนื่องเช่นกัน โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยว และหัวเมืองใหญ่ ทั้ง พัทยา ชลบุรี ระยอง ภูเก็ต รวมถึงจังหวัดชายแดน พบว่ามีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาพัฒนาโครงการในลักษณะนอมินีจำนวนมาก

รศ.มานพ ยังได้กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง"AEC: ปัจจัยบวกและปัจจัยลบต่อภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์"ว่า ผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยยังไม่มีความพร้อมทั้งรองรับการแข่งขันของคู่แข่งที่จะเข้ามาในประเทศ รวมถึงการขยายธุรกิจในต่างประเทศ ปัจจุบันพบว่านักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศในหลายรูปแบบ ทั้งการเป็นนายหน้าซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ส่วนใหญ่เป็นบริษัทชั้นนำเป็นที่ยอมรับ ขณะที่ผู้ประกอบการไทยยังไม่มีฝีมือในระดับนานาชาติได้

รวมถึง การเข้ามาในลักษณะการเป็นผู้ดูแลอาคาร และ After sale service เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่และเป็นที่ยอมรับ ขณะที่ผู้ประกอบการไทยยังสามารถดำเนิการในลักษณะ SME แม้จะมีขณะนี้จะมีผู้ประกอบการไทย เช่น บมจ.แสนสิริ(SIRI) บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท(PS) จัดตั้งบริษัทดำเนินการแต่ยังไม่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป

นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ทั้ง บมจ.ไรมอนแลนด์(RML) บมจ.แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์(GOLD)บมจ.อีสเทิร์นสตาร์(ESTAR) และขณะนี้มีนักลงทุนจากสิงคโปร์ มาเลเซีย เข้ามาเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในระดับกลาง ทำธุรกิจในลักษณะให้เช่าและขายอย่างละครึ่ง เนื่องจากมองเห็นผลตอบแทนการลงทุนในระยะยาว เป็นการจัดตั้งบริษัทในลักษณะนอมินี

"ต่างชาติมีการเข้ามาลงทุนในไทยหลายรูปแบบ มีทั้ง financial consultant พร้อมที่จะสนับสนุนการเงินให้ หรือเข้ามาเป็น in direct investment ลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งทั้งหมดเขาเข้ามานานแล้ว" รศ.มานพ กล่าว

ส่วนการขยายการลงทุนในต่างประเทศ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยยังไม่มีความพร้อม เห็นได้ว่ามีผู้ประกอบการายใหญ่เคยขยายการลงทุนในประเทศแถบอาเซียนมาแล้วและไม่ประสบความสำเร็จ แต่ขณะนี้ตลาดในประเทศเริ่มมีอุปสงค์มากกว่าอุปทานแล้ว จึงควรเริ่มมองหาการขยายการลงทุน แต่ควรเป็นไปในลักษณะที่มีรัฐบาลเป็นผู้นำตลาด ไม่ควรลงทุนเอง เพื่อลดความเสี่ยงการลงทุน โดยรัฐบาลควรทำสัญญาลักษณะรัฐต่อรัฐ (GtoG) ขอเช่าที่ดินในต่างประเทศและเชิญผู้ประกอบการไทยเข้าลงทุนพัฒนาโครงการเพื่อขายหรือให้เช่า ซึ่งเกาหลีใต้ดำเนินการประสบความสำเร็จดี

พร้อมกันนี้ได้เสนอแนะให้รัฐบาลมีการแก้ไขกฎหมาย ที่ดินเพื่อเพื่อระยะเวลาการถือครองกรรมสิทธิ์ของต่างชาติจาก 30 ปี เป็น 60 ปี เพื่อลดปัญหาการลงทุนในลักษณะนอมินี การลดภาษีที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ มีการกระจายอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้พร้อมรองรับ

ส่วนผู้ประกอบการไทยแนะให้มีบันไดทอง 5 ขั้นก่อนการไปลงทุนในต่างประเทศ คือ การไปท่องเที่ยวต่างประเทศเพื่อเรียนรู้สังคม วัฒนธรรม การหาเพื่อนทำธุรกิจในต่างประเทศ การซื้อสินค้าต่างประเทศ การให้ต่างชาติซื้อสินค้าไทย และท้ายสุดจะสามารถทำธุรกิจร่วมกันได้

"ทำอะไรอย่างผลีผลาม กระตุ้นให้รัฐบาลนำ และควรไปเป็นกลุ่ม เริ่มที่ 4 ประเทศก่อน คือ ลาว กัมพูชา พม่า และเวียดนาม" รศ.มานพ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ