(เพิ่มเติม) ผู้ว่าธปท.เผยบาทแข็ง 1-2%หลัง QE3 แต่ยังมีเสถียภาพ,ลดดอกเบี้ยอาจไม่สอดคล้องศก.

ข่าวเศรษฐกิจ Monday September 24, 2012 12:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กล่าวว่า หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ประกาศใช้มาตรการ QE3 ตลาดได้มีการ price in ไปแล้ว จึงส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นไปราว 1-2% ซึ่งในภูมิภาคมีทั้งสกุลอื่นที่แข็งค่ามากกว่าเงินบาท และแข็งค่าน้อยกว่าเงินบาท แต่ค่าเงินบาทยังมีเสถียรภาพเมื่อเทียบกับคู่ค้า

ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้เงินทุนไหลเข้า-ออกยังมีความสมดุล เพราะมีเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในหลายด้าน ขณะที่มีเงินไหลออกไปด้วย และไม่ได้เป็นปัจจัยกดดันค่าเงินบาท ส่วนในช่วงต่อจากนี้คงต้องรอดูผลของมาตรการ QE3 อีกระยะหนึ่งก่อน

“หลังการประกาศใช้ QE3 เงินบาทไม่ได้อยู่ระดับเกินคาดหมาย และยังมีการเคลื่อนไหว 2 ทิศทาง การเคลื่อนย้ายเงินทุนมีทั้งซื้อและขาย มีดุลยภาพดี...ผู้ที่เกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยนต้องดูว่าเงินบาทที่เคลื่อนไหว 2 ทิศทาง ก็อย่าชะล่าใจ ถ้าความเสี่ยงเปิดก็แนะให้บริหารความเสี่ยงไว้ด้วย"นายประสาร กล่าว

ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องหลังการใช้ QE3 เนื่องจากเฟดไม่ได้มีการประกาศระยะเวลาสิ้นสุดการใช้มาตรการที่ชัดเจน แต่จะรอให้อัตราว่างงานของสหรัฐอยู่ระดับดีขึ้น อย่างไรก็ตาม มองว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเซีย รวมถึงไทย มีความน่าสนใจลงทุนน้อยลงเมื่อเทียบ 2 ปีก่อนที่เศรษฐกิจเติบโตในอัตราสูง โดยตลาดละตินอเมริกามีความน่าสนใจดึงดูดเม็ดเงินลงทุนมากกว่า

ทั้งนี้ ธปท.มีการเตรียมมาตรการรับมือเม็ดเงินไหลเข้าต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการผ่อนคลายมาตรการนำเงินออกนอกประเทศ ด้วยการสนับสนุนธุรกิจไทยไปลงทุนต่างประเทศ ซึ่งประสบผลสัมฤทธิ์ดี โดยปี 54 มีเม็ดเงินลงทุนของไทยไหลออกนอกประเทศราว 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และ 8 เดือนแรกปีนี้ก็มีเงินทุนไหลออกไปลงทุนราว 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการรักษาสมดุลกับเงินที่ไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรที่มีราว 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ค่าเงินบาทไม่ถูกกดดันจากเงินไหลเข้า

และจากวิกฤตการเงินโลกที่มาเร็วและแรงขึ้น ธปท.ยังมีเครื่องมือที่ยังสามารถใช้ได้ดี และมีการเตรียมเครื่องมือให้พร้อม และพร้อมที่จะนำมาผสมผสาน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากเกินไป โดยที่เศรษฐกิจยังเติบโตได้ดี

ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวอีกว่า หลังการใช้ QE3 อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อโลกสูงขึ้นตามราคาสินทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้น แต่ขณะนี้ยังไม่ส่งผลกดดันต่อเงินเฟ้อในประเทศไทย เพราะปัจจัยผลักดันเงินเฟ้อของไทยมาจากภายในประเทศ ทั้งระดับรายได้ของผู้บริโภคที่สูงขึ้น ทำให้มีการอุปโภคบริโภคสูงขึ้น รวมถึงการลงทุนสูงเพื่อฟื้นฟูหลังน้ำท่วม แต่ทั้งนี้ภาวะเงินเฟ้อโลกที่สูงขึ้นก็เป็นปัจจัยที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ยังติดตามต่อไป

นายประสาร กล่าวอีกว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายในขณะนี้อาจเป็นการส่งสัญญาณที่ผิด แม้ทำให้รายจ่ายดอกเบี้ยลดลง แต่เกิดคำถามว่าจะสอดคล้องกับการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจหรือไม่ เนื่องจากขณะนี้สินเชื่อในระบบสถาบันการเงินยังขยายตัวสูง เดือน ส.ค.สินเชื่อขยายตัวถึง 15-16% การแข่งขันเงินฝากยังมีอยู่สูง หากมีการลดดอกเบี้ยนโยบายอาจไม่ได้ส่งผ่านนโยบายได้ดีเท่าที่ควร และยังไม่ได้สร้างผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ อีกทั้งอาจมีผลกระทบทางอื่นตามมาด้วย

“กนง.ดูเสถียรภาพเศรษฐกิจและความเสี่ยงเงินเฟ้อ ซึ่งค่อนไปทางเศรษฐกิจที่ยังโตต่อเนื่อง โดยสินเชื่อภาคสถาบันการเงินยังเติบโตสูง การอุปโภคบริโภค การลงทุนในประเทศเติบโตสูง ซึ่ง กนง.นำมาประกอบการพิจารณา การลดอกเบี้ยตอนนี้อาจไม่ส่งผ่านและส่งสัญญาณผิด แต่ก็ยังติดตามอยู่ต่อเนื่อง"ผู้ว่าการ ธปท. กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ