สกุลเงินยูโรร่วงเป็นวันที่ 5 ติดต่อกันเมื่อเทียบกับสกุลเงินเยน และร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 1 สัปดาห์เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจของเยอรมนีลดลงโดยไม่คาดหมายในเดือนกันยายน ประกอบกับข่าวที่ว่าผู้นำเยอรมนีและฝรั่งเศสมีความคิดเห็นขัดแยังกันเกี่ยวกับกรอบเวลาในการใช้ระบบสหภาพการธนาคารในยูโรโซน ซึ่งยิ่งเป็นการเพิ่มความวิตกเกี่ยวกับวิกฤตหนี้ที่กำลังปกคลุมแนวโน้มเศรษฐกิจของภูมิภาค
ยูโรร่วงลง 0.8% แตะ 100.63 เยน ณ เวลา 8.43 น.ตามเวลานิวยอร์กในวันนี้ และอ่อนค่าลง 0.6% แตะ 1.2898 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ก.ย.
สถาบัน Ifo ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจของเยอรมนี เปิดเผยในวันนี้ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจของเยอรมนีเดือนก.ย.ลดลงแตะ 101.4 จาก 102.3 ในเดือนส.ค. โดยเป็นการปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน
ข้อมูลความเชื่อมั่นทางธุรกิจของเยอรมนีที่อ่อนแรงในเดือนก.ย.ส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจของเยอรมนีมีแนวโน้มจะอยู่ในภาวะย่ำแย่ต่อไปในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ข้อมูลเศรษฐกิจในยูโรโซนที่ไม่สู้ดีจะทำให้ธนาคารกลางยุโรปจำเป็นต้องใช้นโยบายแบบผ่อนคลายต่อไป ซึ่งการใช้มาตรการเหล่านี้จะส่งผลกดดันสกุลเงินยูโรให้อ่อนค่าลง
ขณะที่เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล ของเยอรมนี และ ประธานาธิบดีฟรองซัวส์ ออลลองด์ ของฝรั่งเศส ได้พบปะพูดคุยกันเมื่อวันที่ 22 ก.ย.ที่ผ่านมา แต่ปรากฏว่าผู้นำทั้งสองยังคงมีความเห็นขัดแย้งกันอย่างชัดเจนในเรื่องสหภาพการธนาคารที่มีเป้าหมายเพื่อควบคุมวิกฤตหนี้ โดยนายออลลองด์กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า "ยิ่งเร็วเท่าไหร่ ยิ่งดี" แต่นางแมร์เคิลระบุว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะรีบลงมือทำสิ่งใด หากเห็นว่าไม่เป็นผล
ด้านเงินเยนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินหลักๆ เนื่องจากหุ้นเอเชียและยุโรปที่ปรับตัวลงได้กระตุ้นความต้องการสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า โดยสกุลเงินเยนมีแนวโน้มแข็งค่าในยามที่เกิดปัญหาทางการเงินต่างๆ เนื่องจากยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่อยู่ในระดับสูงของญี่ปุ่นทำให้ญี่ปุ่นไม่ต้องพึ่งพาทุนจากต่างประเทศ