กระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้เปิดเผยการประมาณการครั้งสุดท้ายของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่แท้จริงประจำไตรมาส 2/2555 ในวันนี้ โดยทางกระทรวงได้ปรับลดจีดีพีไตรมาส 2 ลงมาอยู่ที่ระดับ 1.3% จากการประมาณการครั้งก่อนที่ระดับ 1.7% เนื่องจากการบริโภคส่วนบุคคลและยอดส่งออกที่ชะลอตัวลง
ทั้งนี้ แม้ว่าจีดีพีของสหรัฐจะขยายตัวติดต่อกัน 12 ไตรมาส แต่จีดีพีไตรมาส 2 ขยายตัวในอัตราที่ช้าที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2554
รายงานดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางความวิตกกังวลที่ว่า มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบที่ 3 หรือ QE3 ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศใช้ในการประชุมครั้งล่าสุดนั้น อาจจะไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้ตามเป้าหมาย
ฟิล แกรมม์ อดีตประธานคณะกรรมาธิการด้านการธนาคารแห่งวุฒิสภาสหรัฐ และจอห์น เทย์เลอร์ ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดกล่าวในบทวิเคราะห์ว่า "ในขณะที่นักลงทุนพยายามคาดการณ์ถึงช่วงเวลาและผลกระทบของนโยบายของเฟดที่จะมีต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินนั้น นโยบายการเงินของเฟดกลับยิ่งเพิ่มบรรยากาศความไม่แน่นอนและชะงักงันทางเศรษฐกิจให้มากขึ้น หลังจากที่เผชิญภาวะดังกล่าวอยู่แล้วอันเนื่องมาจากนโยบายการคลังในปัจจุบัน"
นอกจากนี้ ล่าสุดนายชาร์ลส์ พลอสเซอร์ ประธานเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียกล่าวว่า แผนการซื้อพันธบัตรที่มีสัญญาจำนองค้ำประกันครั้งใหม่ของเฟด หรือที่เรียกกันว่า QE3 นั้น แทบจะไม่ส่งผลให้การช่วยหนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือช่วยลดอัตราว่างงานแต่อย่างใด พร้อมระบุว่าการดำเนินการดังกล่าวอาจจะบั่นทอนความน่าเชื่อถือของเฟดด้วย