โบรกฯ มองราคายางปีนี้มีสิทธิไปถึง 140-150 บาท/กก.รับปัจจัยหนุนใน-นอก

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday October 3, 2012 12:50 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชัยวัฒน์ เหมือนมี นักวิเคราะห์ บริษัท ดีเอส ฟิวเจอร์ส จำกัด โบรกเกอร์ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า กล่าวว่า แนวโน้มราคายางมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยระยะกลางน่าจะขึ้นไปทดสอบระดับ 120 บาท/กก.ตามที่รัฐบาลประกาศผลักดันให้เป็นราคาเป้าหมาย ส่วนในระยะยาวราคามีโอกาสทดสอบระดับ 140-150 บาท/กก.ภายในปีนี้ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ

โดยเฉพาะปัจจัยล่าสุดที่เข้ามาคือความกังวลว่าปริมาณผลผลิตจะหายไปจากตลาดโลกอย่างน้อย 3.0-4.5 แสนตัน เป็นผลจากการที่ 3 ประเทศหลักที่ส่งออกยางพารารายใหญ่ของโลก คือ ไทย อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย ร่วมมือกันลดปริมาณการส่งออกยางรวม 3 แสนตัน ขณะที่คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะกลับมาเติบโตหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 3(QE3) และกองทุนกลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป(ESM)จะมีผลในวันที่ 8 ต.ค.นี้ รวมทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจประเทศจีนน่าจะกลับมาเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกันกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก

"มองระยะกลางราคายางน่าจะมีโอกาสทดสอบระดับ 120 บาท/กก. ระยะยาวมีโอกาสทดสอบ 140-150 บาท/กก."นายชัยวัฒน์ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ปัจจัยที่เป็น Key Factor ที่สำคัญที่จะสนับสนุนให้ราคายางมีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างแรกคือผลผลิตที่จะหายไปจากตลาดโลกทั้งจากมาตรการลดปริมาณการส่งออกยางของ ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งมีผลบังคับใช้ไปเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา ประกอบกับช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.ของทุกปีประเทศอินโดนีเซียเข้าสู่ฤดูกาลยางผลัดใบพอดี ขณะเดียวกันประเทศไทยก็ยังมีมรสุมอย่างต่อเนื่องทำให้เป็นอุปสรรคต่อการกรีดยาง ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยลง

"คาดการณ์ว่าอย่างน้อยๆ ปริมาณผลผลิตยางน่าจะหายไปจากตลาดโลกประมาณ 3-4.5 แสนตัน"นายชัยวัฒน์ กล่าว

ดังนั้น เมื่อคาดการณ์ควบคู่กับเรื่องความต้องการ (Demand) ที่น่าจะกลับมาดีขึ้นหลังเศรษฐกิจทำท่าจะฟื้นตัวหลังธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 3 (QE3) ถือเป็นยาแรงที่มากระตุ้นให้เศรษฐกิจโลกน่าจะเดินหน้าต่อไปได้ ทั้งเศรษฐกิจในภาคการเงิน ภาคการผลิต รวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำที่จะเชื่อมโยงให้อุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมเหล็กกลับมาขยายตัวและจะทำให้ความต้องการใช้ยางกลับมา

ขณะที่วิกฤติหนี้ในยุโรปก็มีแนวโน้มว่าคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะจากการตั้งกองทุนกลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (ESM) สำเร็จและจะเริ่มดำเนินการในวันที่ 8 ต.ค.นี้แล้ว อีกทั้งประธานยูโรโซนมีแผนจะร่วมประชุมนัดแรกของคณะกรรมการกองทุน ESM ในวันเดียวกัน ซึ่งน่าจะมีมาตรการหรือแนวทางใดๆ ที่ชัดเจนขึ้นในการช่วยให้วิกฤติหนี้ของยุโรปคลี่คลายได้ในเร็วๆนี้

ส่วนประเทศจีนซึ่งเป็นผู้ใช้ยางรายใหญ่ของโลกนั้น ที่ผ่านมาสภาพเศรษฐกิจมักจะผันผวนไปในทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจโลกอยู่แล้ว รวมถึงมีการคาดการณ์กันว่าจีนอาจจะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม และธนาคารกลางจีนอาจจะประกาศลดดอกเบี้ยหรือลดเพดานสำรองเงินฝาก 4 เท่าในครึ่งหลังของปีนี้ ดังนั้น มีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจจีนน่าจะเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่มีทิศทางดีขึ้น จึงมีโอกาสที่ความต้องการใช้ยางจะกลับมา แม้ว่าตอนนี้จีนยังอยู่ระหว่างหยุดในวันชาติ แต่คาดว่าหลังวันที่ 8 ต.ค.จีนน่าจะกลับมาเก็บสต็อกยางต่อ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ