นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ฐานะการคลังของภาครัฐบาล(รัฐบาลและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) ตามระบบ สศค.(Government Finance Statistics:GFS) ในไตรมาสที่ 3(เม.ย.-มิ.ย.55)ปีงบประมาณ 2555 เกินดุลกว่า 1.4 แสนล้านบาท เป็นผลมาจากการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2555(ต.ค.54-มิ.ย.55) ดุลการคลังภาครัฐบาลขาดดุล 2.5 แสนล้านบาท
"การขาดดุลการคลังของภาครัฐบาลในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2555 เป็นไปตามนโยบายการคลังของรัฐบาลในปีนี้ที่เป็นงบประมาณแบบขาดดุล เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพ นอกจากนี้การดำเนินมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลเพื่อฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจจะทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยขยายตัวอย่างยั่งยืน" นายสมชัย กล่าว
โดยในไตรมาส 3 ดุลการคลังภาครัฐบาลเกินดุล 143,979ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.2 ของ GDP สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 16,484 ล้านบาท โดยรัฐบาลมีรายได้ทั้งสิ้น 837,891 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 21,314 ล้านบาท เนื่องจากรัฐบาลจัดเก็บรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีรถยนต์ และอากรขาเข้าได้เพิ่มขึ้นมาก นอกจากนี้บัญชีเงินนอกงบประมาณมีรายได้เพิ่มขึ้นจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ส่วนรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว เนื่องจากได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนจากรัฐบาลและรายได้ที่ อปท. จัดเก็บเองลดลง
สำหรับการเบิกจ่ายของภาครัฐบาลรวมทั้งสิ้น 693,912 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 4,830 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.7 เป็นผลจากการเบิกจ่ายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 34,623 ล้านบาท จากรายจ่ายเพื่อการลงทุนและรายจ่ายประจำ ในขณะที่การเบิกจ่ายของรัฐบาลลดลง 27,751 ล้านบาท เป็นผลจากการเบิกจ่ายงบลงทุนที่ลดลง
ขณะที่ช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2555 ดุลการคลังภาครัฐบาลขาดดุล 256,723 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.2 ของ GDP สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 40.9 ส่วนดุลการคลังเบื้องต้นของรัฐบาล(Primary Balance) ซึ่งเป็นดุลการคลังที่สะท้อนถึงผลการดำเนินงานของรัฐบาลและทิศทางของนโยบายการคลังของรัฐบาลอย่างแท้จริง โดยไม่นับรวมรายได้และรายจ่ายจากดอกเบี้ยและการชำระคืนต้นเงินกู้ขาดดุลทั้งสิ้น 157,691 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.2 ของ GDP ขาดดุลสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 65,426 ล้านบาท