นายโสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) เปิดเผยว่า การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาเตือนว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์กำลังจะล้นตลาด และอาจมีปรากฏการณ์ฟองสบู่เกิดขึ้นนั้น จากการสำรวจของ AREA พบว่า สถานการณ์ยังไม่ได้เกิดฟองสบู่ เพราะยังมีผู้ซื้อบ้านโดยเฉพาะห้องชุดเป็นจำนวนมาก ยังมีผู้เข้าอยู่อาศัยในบ้านโดยเฉพาะห้องชุดเป็นจำนวนมากเมื่อสร้างเสร็จ ไม่ได้ปล่อยร้างไว้ ผู้เข้าอยู่ยังเป็นผู้ซื้ออยู่เองเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่ผู้เช่า ราคาห้องชุดที่ซื้อไว้ยังเพิ่มสูงขึ้นปีละประมาณ 5% และอัตราผลตอบแทนในการลงทุนซื้อห้องชุดยังเป็นเงินสูงถึงประมาณ 6%
"เชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทยคงเพียงหวังส่งสัญญาณเตือน เพื่อแสดงว่าได้ดำเนินการอะไรบางอย่างแล้ว คือได้เตือนแล้ว แต่คงไม่มีมาตรการที่เป็นรูปธรรมใด ๆ ซึ่งสภาพก็คล้าย กับป้ายเขียนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เตือนประชาชนที่ข้ามฝั่งไปเล่นการพนันยังฝั่งลาวว่าเป็นการทำลายเศรษฐกิจชาติ แต่ไม่มีมาตรการป้องปรามอื่นใด" นายโสภณ กล่าว
ส่วนการที่ บริษัทพัฒนาที่ดินออกมาประสานเสียงว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ล้นตลาด เพราะเกรงว่ารัฐบาลจะออกมาตรการควบคุม และทำให้นักพัฒนาที่ดินรายใหญ่ ๆ ผลประโยชน์ และออกมาอ้างว่าแรงงานขาดแคลน วัสดุก่อสร้างราคาแพงขึ้น ทำให้ค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้น จึงต้องเพิ่มค่าราคาบ้านในอนาคต โดยนัยนี้เพื่อกระตุ้นให้เกิดยอดขายเพิ่มขึ้นในระหว่างนี้
สำหรับมาตรการที่จะป้องปรามการเก็งกำไรนั้น หากมีฟองสบู่เกิดขึ้นจริง รัฐบาลสมควรดำเนินการ โดยปรามการซื้อ เช่น ในกรณีประเทศจีน กำหนดให้ผู้ซื้อบ้านหลังแรก ต้องวางเงินดาวน์ 20-30% การวางเงินดาวน์เพียง 5-10% และหากยังไมได้ผล ควรกำหนดให้ผู้ซื้อบ้านหลังที่สองห้ามกู้เงินสถาบันการเงิน ต้องใช้เงินสดส่วนตัว หรืออาจกำหนดให้ครอบครัวหนึ่งสามารถกู้เงินซื้อบ้านหลังแรกเพียงหลังเดียว หลังต่อมาต้องใช้เงินสดส่วนตัว
การปรามการเก็งกำไร เช่น รัฐบาลฮ่องกงกำหนดให้ ผู้ที่ซื้อบ้านและโอนภายในเวลา 6 เดือน ต้องเสียค่าธรรมเนียมโอน 15% ของราคาขาย (ไม่ใช่ส่วนต่างของกำไร) แต่ถ้าโอนภายใน 1 ปี ก็เสียภาษี 10% และหากโอนภายใน 2 ปี ก็จะเสียภาษีเพียง 5% เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อการหยุดการเก็งกำไรอย่างมีประสิทธิผล และหยุดการซื้อ เช่น รัฐบาลสิงคโปร์ กำหนดให้คนต่างชาติที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในสิงคโปร์ หรือคนสิงคโปร์ที่ซื้อบ้านหลังที่สอง ซึ่งส่วนมากก็ซื้อเพื่อการเก็งกำไร ต้องเสียค่าธรรมเนียมโอน 15% และ 5% ตามลำดับ ดังนั้นการเก็งกำไรต่าง ๆ จึงหมดไปในเวลาอันสั้น
นายโสภณ กล่าวอีกว่า มาตรการเหล่านี้อาจทำให้บริษัทพัฒนาที่ดินไม่สามารถประกอบธุรกิจได้เป็นล่ำเป็นสันเช่นแต่ก่อน แต่ก็เป็นการคุ้มครองผู้บริโภค และบรรเทาความร้อนแรงของตลาด ป้องปรามการทำกำไรโดยไม่ได้ทำอะไร (Unearned Increment of Value) ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่ล้ม ไม่ทำให้ประชาชนหลงมาซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อให้ราคาเพิ่มขึ้น
"สถานการณ์ในยามนี้ ยังอาจไม่จำเป็นต้องออกมาตรการแบบยาแรง เช่นประเทศเพื่อนบ้าน แต่เชื่อว่า หากเกิดวิกฤติฟองสบู่เช่นที่เคยเกิดขึ้นจริง ส่วนราชการต่าง ๆ ก็คงไม่ทำอะไรมาก เพราะเกรงผู้ประกอบการพัฒนาที่ดิน อย่างมาก็คงทำแบบการเตือนนักการพนันตามภาพ" นายโสภณ กล่าว