นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวว่า รัฐบาลอยู่ระหว่างการเตรียมจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 57 โดยคาดว่าการขาดดุลงบประมาณจะเหลือ 2.25 แสนล้านบาท จากปีงบประมาณรายจ่ายประจำปี 56 ที่ขาดดุลงบประมาณอยู่ที่ 3 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ ในช่วงก่อนสิ้นปีปฏิทิน 55 รัฐบาลจะทบทวนโครงการลงทุนต่างๆ ซึ่งจะมีการกลั่นกรองแต่ละโครงการอย่างเข้มข้นและรอบคอบกว่าอดีตที่ผ่านมา ขณะเดียวกันโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 2 ล้านล้านบาทจะเป็นแผนการลงทุนอย่างน้อย 7 ปี ซึ่งจะทำให้การก่อหนี้ภาครัฐจะค่อยๆ ดำเนินการให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะอยู่ในระดับที่ไม่สูงและสามารถควบคุมได้ โดยปัจจุบันหนี้สาธารณะอยู่ที่ 42% ซึ่งยังต่ำกว่ากรอบวินัยการเงินการคลังที่กำหนดไว้ไม่เกิน 60%
รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวว่า ได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) และสำนักบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) จัดส่งข้อมูลทุกด้านของประเทศไทยให้แก่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ทั้งบริษัท ฟิทช์ เรทติ้ง(ประเทศไทย) จำกัด, บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์(เอสแอนด์พี) และบริษัท มูดี้ส์ อินเวสเตอร์เซอร์วิส จำกัด เพื่อให้ทบทวนการปรับเครดิตเรทติ้งของประเทศ
เนื่องจากมองว่าภาคเอกชนมีการกู้เงินต่างประเทศโดยการออกตราสารหนี้จึงไม่สามารถมีเครดิตเรทติ้งสูงกว่าเครดิตประเทศได้ ประกอบกับมีความเชื่อมั่นว่าพื้นฐานของไทยมีความแข็งแกร่งมากขึ้น มีพื้นฐานที่สามารถรองรับความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกได้ จึงน่าจะมีโอกาสได้ปรับขึ้นเครดิตเรทติ้งของประเทศ
นายกิตติรัตน์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ยังไม่มีความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองที่ยังถูกจัดเรทติ้งในระดับต่ำ เนื่องจากรัฐบาลมีการบริหารกิจการบ้านเมืองภายใต้กรอบประชาธิปไตยและกรอบกฎหมาย จึงเชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไปจะได้รับการยอมรับและมีการปรับเรทติ้งให้ดีขึ้น