นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กล่าวว่า ระยะต่อจากนี้เชื่อว่าแรงกดดันต่อค่าเงินบาทน่าจะลดลงตามแนวโน้มปริมาณเงินไหลเข้าน้อยลงจากช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากผลตอบแทนการลงทุนในประเทศไทยเริ่มจำกัด ขณะที่ความเสี่ยงมีมากขึ้น โดยขณะนี้ตลาดหุ้นไทยมีค่า P/E สูงถึง 16-17 เท่า
สำหรับค่าเงินบาทปัจจุบัน มองว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นที่ 2.7% และระดับค่าความผันผวนที่ 5% คาดว่าเงินบาทคงจะไม่ปรับตัวแข็งค่าไปมากกว่านี้
"upside gain ของการเข้ามาลงทุนไม่มากแล้ว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ไม่กดดันอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้แบงค์ชาติก็ยังคงต้องดูแลอย่างระมัดระวังต่อไป"นางผ่องเพ็ญ กล่าว
อย่างไรก็ตาม แนวโม้นความผันผวนของค่าเงินบาทมีโอกาสที่จะปรับเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่ธปท.กำลังจะทยอยออกมาตราการผ่อนคลายการนำเงินออกไปลงทุนต่างประเทศและสนับสนุนการไหลออกของเงินทุน แต่เชื่อว่าแม้อาจจะเกิดความผันผวนของเงินบาท แต่ภาคธุรกิจก็คงปรับตัวรับสถานการณ์ได้
ส่วนกรณีที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ)มองว่าค่าเงินบาทอ่อนค่ากว่าความเป็นจริงนั้น นางผ่องเพ็ญ กล่าวว่า ควรพิจารณารายงานเปรียบเทียบของหลายประเทศ วิธีการคำนวนของไอเอ็มเอฟไม่ได้มองว่าถูกหรือผิด แต่มองว่าการเปรียบเทียบควรจะเทียบค่าเงินไม่ใช่แค่กับเงินดอลลาร์สหรัฐ แต่ควรเทียบกับค่าเงินของคู่ค้าและคู่แข่งของไทย ซึ่งค่าเงินบาทก็ไม่ได้เสียเปรียบคู่แข่งคู่ค้า แต่อาจจะแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้วการที่เงินบาทแข็งค่าก็เป็นการสะท้อนพื้นฐานเศรษฐกิจที่มีมีแนวโน้มดีขึ้น