สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (15 ต.ค.) ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 2 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนย้ายฐานการลงทุนเข้าไปในตลาดหุ้นและสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ หลังจากสหรัฐเปิดเผยยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งเกินคาด ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวได้ฉุดสัญญาทองคำร่วงลงปิดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนก.ย.เป็นต้นมา
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ทองเดือนธ.ค.ร่วงลง 22.1 ดอลลาร์ หรือ 1.26% ปิดที่ 1,737.6 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,729.70-1,755.50 ดอลลาร์
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดที่ 32.743 ดอลลาร์/ออนซ์ ร่วงลง 92.60 เซนต์
สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค.ปิดที่ 1,632.30 ดอลลาร์/ออนซ์ ร่วงลง 27.00 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดที่ 632.60 ดอลลาร์/ออนซ์ ร่วงลง 6.45 ดอลลาร์
ในระหว่างวันนั้น สัญญาทองคำร่วงลงแตะระดับต่ำสุดที่ 1,729.70 ดอลลาร์ ก่อนที่จะดีดตัวขึ้นในเวลาต่อมา โดยสัญญาทองคำได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ เนื่องจากความไม่แน่นอนของวิกฤตหนี้ยูโรโซนได้กระตุ้นให้นักลงทุนแห่ถือดอลลาร์ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย แต่การแข็งค่าของดอลลาร์ได้สร้างแรงกดดันให้กับสัญญาสินค้าโภคภัณฑ์ เพราะดอลลาร์ที่แข็งค่าจะทำให้สัญญาทองคำมีมูลค่าแพงขึ้นสำหรับนักลงทุนที่ถือครองเงินสกุลอื่น
สัญญาทองคำยังได้รับปัจจัยลบจากการที่นักลงทุนย้ายฐานการลงทุนเข้าไปในตลาดหุ้นนิวยอร์ก หลังจากกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเดือนก.ย. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.1% แตะ 412.94 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นเดือนที่ 3 ติดต่อกันหลังจากที่เพิ่มขึ้น 1.2% ในเดือนส.ค. และมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.8%
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยบวกหลังจากจีนเปิดเผยว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ย. ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สำคัญ ขยายตัว 1.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และน้อยกว่าเดือนส.ค.ที่มีการขยายตัว 2%