เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(BOI) เผยเป้าหมายการส่งเสริมการลงทุนในอนาคตจะมุ่งเน้นในเรื่องของคุณภาพมากกว่าปริมาณ เพราะเชื่อว่าการลงทุนที่มีคุณภาพจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
"เราจะไม่มุ่งเน้นในเรื่องของมูลค่า ตัวเลข หรือเชิงปริมาณ แต่จะมุ่งเน้นในเรื่องของคุณภาพ ซึ่งการลงทุนที่มีคุณภาพคือการลงทุนที่สร้างมูลค่าเพิ่มในเมืองไทย และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม" นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(BOI) กล่าว
แนวทางการทำงานของ BOI ในอนาคตจะแตกต่างไปจากอดีต คือ การเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถลงทุนและดำเนินธุรกิจได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องมาขอรับการสนับสนุน เพื่อที่ BOI จะเข้าไปดูแลเฉพาะการลงทุนที่ยาก ต้องการความช่วยเหลือหรือต้องการสิทธิประโยชน์เพื่อที่จะให้มีความสามารถแข่งขันกับต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาถึงความเหมาะสมว่าจะให้การสนับสนุนในอุตสาหกรรมใดบ้าง ซึ่งอาจจะเหลืออุตสาหกรรมไม่ถึง 100 สาขา จากทั้งหมดที่มีอยู่ 200 สาขา หลังจากนั้นจะเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพิจารณาอีกครั้ง
โดยแนวทางการดำเนินงานนั้นจะมีการเพิ่มสิทธิประโยชน์บางพื้นที่เพื่อจูงใจให้มีการลงทุนเพิ่มมากขึ้น, การสนับสนุนให้นักธุรกิจไทยขยายการลงทุนในต่างประเทศ เพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับกิจการของคนไทย และสร้างพันธมิตรทางธุรกิจกับนักลงทุนต่างประเทศ พร้อมทั้งสนับสนุนในเรื่องฐานข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนด้วยการจัดตั้งหน่วยงานอย่างเป็นทางการ
เลขาธิการ BOI กล่าวว่า สำหรับประเทศที่นักลงทุนไทยให้ความสนใจไปลงทุนนั้นต้องมี 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.ค่าจ้างถูกกว่าประเทศไทย 2.มีตลาดรองรับ และ 3.มีฐานธุรกิจสนับสนุน ซึ่งนักลงทุนให้ความสนใจที่จะไปลงทุนที่ประเทศพม่าและเวียดนามเป็นอย่างมาก ส่วนประเทศอินโดนีเซียเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ มีกำลังซื้อ และมีภาวะทางเศรษฐกิจกำลังเติบโต รวมถึงประเทศจีนและอินเดีย ซึ่ง BOI กำลังจะไปเปิดสำนักงานเพื่อคอยดูแลช่วยเหลือนักลงทุนไทย พร้อมทั้งเชิญชวนให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยด้วย
"การเข้ามารับตำแหน่งใหม่นี้ก็คงต้องทำงานให้สอดคล้องและเข้าจังหวะเดียวกันกับภาคการลงทุนทั้งหลาย ให้ไปในทิศทางเดียวกันเพื่อให้เกิดประโยชน์และประสบความสำเร็จมากที่สุด" นายอุดม กล่าว
เลขาธิการ BOI กล่าวว่า ส่วนเรื่องแรงงานมีฝีมือกำลังเป็นปัญหาสำคัญ ซึ่ง BOI ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาเร่งฝึกแรงงานที่ตลาดมีความต้องการ ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่ 2 เดือนก่อนแล้ว และเป็นประเด็นหลักของประเทศ ซึ่งได้มอบหมายให้ทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) เข้าไปดูแลในภาพรวมและแก้ปัญหาในประเด็นดดังกล่าวแล้ว
สำหรับแนวทางการส่งเสริมการลงทุนในโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษท่าเรือทวายขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่าจะมีอุตสาหกรรมใดบ้าง แต่มีการตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมหนักและอุตสาหกรรมเบา ซึ่งต้องรู้ความชัดเจนเรื่องขนาดของท่าเรือก่อน แต่เท่าที่ทราบทางเอกชนได้เข้าไปชักจูงหลายบริษัทแต่ก็ยังไม่ได้มีข้อสรุปที่ชัดเจน คงอยู่ในช่วงตัดสินใจของภาคเอกชนเช่นกัน