สำหรับมาตรการกีดกันทางการค้าที่อินโดนีเซียใช้กับการนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากไทย เช่น ลดจำนวนท่าเรือที่นำเข้าพืช ผัก-ผลไม้สด โดยไม่ให้นำเข้าที่ท่าเรือในกรุงจาการ์ตา ส่งผลให้ต้นทุนการขนส่งสูง และพืชผัก-ผลไม้สดเสียหาย เพราะระยะทางการขนส่งไกล เป็นต้น
รมว.พาณิชย์ กล่าวด้วยว่า ตนเองได้สั่งการให้จัดตั้งหน่วยปฏิบัติการพิเศษ โดยมีอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเป็นหัวหน้า ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชนลงพื้นที่และประชุมร่วมกับคู่ค้า เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี(NTB)ให้ได้ เพราะไม่เช่นนั้นจะกระทบต่อการส่งออกของไทยไปประเทศต่างๆ และสินค้าไทยอาจเสียตลาดได้ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม หากผู้ส่งออกของไทยพบปัญหาและอุปสรรคทางการค้าจากมาตรการ NTB ของประเทศต่างๆ สามารถร้องเรียนผ่านศูนย์ AEC ของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และที่ศูนย์ AEC ของกระทรวงพาณิชย์ ณ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ โดยจะมีคณะทำงานปฏิบัติการพิเศษเป็นผู้ดำเนินการเร่งรัดการแก้ไขปัญหาต่างๆ ซึ่งจะส่งผลทำให้สามารถเพิ่มปริมาณและมูลค่าการค้าระหว่างประเทศของไทยให้มากขึ้นอีกด้วย
ด้านนางพิรมล เจริญเผ่า อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาได้หารือกับกรมความร่วมมือการค้าระหว่างประเทศของอินโดนีเซีย เพื่อแจ้งข้อกังวลดังกล่าวของไทย และขอให้อินโดนีเซียเร่งแก้ไขปัญหาต่างๆ ซึ่งจากการหารือครั้งนี้ อินโดนีเซียจะช่วยเร่งรัดจัดทำความตกลงยอมรับการตรวจรับรองร่วมกัน(MRA) กับประเทศไทยให้เร็วที่สุด เพื่อให้สินค้าพืช ผัก-ผลไม้ได้ผ่านเข้าได้ทุกจุด โดยไม่ต้องตรวจสารตกค้างที่ด่านนำเข้าของอินโดนีเซียซ้ำอีก
นอกจากการแก้ปัญหาเป็นรายประเทศแล้ว กรมฯ ยังได้เร่งรัดให้คณะผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลก(WTO) ณ นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ หยิบยกกรณีที่ประเทศต่างๆ หันมาใช้ NTB ในการกีดกันการนำเข้าสินค้ามากขึ้นในเวที WTO ซึ่งขณะนี้มีหลายประเทศได้รับผลกระทบแล้ว เช่น จีน, สหรัฐฯ, แคนาดา, ออสเตรเลีย, อินเดีย, เวียดนาม, มาเลเซีย เป็นต้น