ทั้งนี้ มั่นใจได้ว่าข้าวไทยยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดโลก เนื่องจากมีคุณภาพและมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ และจากเป้าหมายการส่งออกข้าวที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในปี 56 จะเป็นผลมาจากการกำหนดแผนขยายตลาดส่งออกข้าวที่มุ่งแสวงหาตลาดใหม่ๆ อาทิ ประเทศในภูมิภาคแอฟริกา อเมริกาใต้ และตะวันออกกลาง เป็นต้น เน้นการประชาสัมพันธ์คุณภาพข้าวไทย โดยการสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชน
รวมทั้งเร่งผลักดันการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปัจจุบันมีแนวโน้มเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น และหลายประเทศได้แสดงความสนใจที่จะนำเข้าข้าวจากไทย โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียนเดิม อาทิ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ รวมถึงประเทศในภูมิภาคแอฟริกาด้วย
นางปราณี กล่าวต่อว่า ในปี 56 กรมการค้าต่างประเทศได้จัดทำแผนการตลาดส่งออกข้าว โดยได้บูรณาการแผนงานและร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ข้าวไทย โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิไทยทั้งในตลาดเก่าและตลาดใหม่ รวมทั้งจะจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดข้าวลักษณะพิเศษ เช่น ข้าวหอมมะลิอินทรีย์ ข้าว GI (Geographical Indication) ข้าวสินเหล็ก เป็นต้น ซึ่งเป็นข้าวที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและเป็นที่นิยมของผู้บริโภคในประเทศสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และเอเชีย
นอกจากนี้ กรมการค้าต่างประเทศยังได้ขยายการประชาสัมพันธ์ให้แพร่หลายเป็นวงกว้างมากยิ่งขึ้น เพื่อเผยแพร่เอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของข้าวไทยไปทั่วโลก โดยจะดำเนินการผ่านสื่อต่างประเทศ ซึ่งจะเริ่มเผยแพร่ในช่วงเดือนม.ค.56 ขณะเดียวกันกรมการค้าต่างประเทศยังได้ร่วมมือกับภาคเอกชน รวมทั้งสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยทำการขยายตลาดข้าวในตลาดหลักของไทย ทั้งสหรัฐอเมริกา เอเชีย แอฟริกา ยุโรป และจีน โดยในช่วงเวลาอันใกล้นี้ กรมการค้าต่างประเทศมีแผนจัดคณะผู้แทนการค้าภาครัฐและภาคเอกชนเดินทางเยือนประเทศฮ่องกง โดยมีนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ เป็นหัวหน้าคณะ เพื่อร่วมพบปะเจรจาธุรกิจและขยายตลาดข้าวหอมมะลิไทย
อย่างไรก็ดี กรมการค้าต่างประเทศ เตรียมขยายความร่วมมือกับประเทศผู้ผลิตและผู้ส่งออกข้าวเพิ่มมากขึ้น โดยการจัดตั้งกลไกความร่วมมือด้านตลาดข้าวอาเซียน 5 ประเทศ กัมพูชา, ลาว, พม่า, เวียดนาม และไทย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยที่จะแสดงบทบาทการเป็นผู้นำในตลาดข้าวโลก สร้างความร่วมมือด้านตลาดข้าวของประเทศในอาเซียนให้มีผลเป็นรูปธรรม อันจะช่วยยกระดับราคาข้าวโลกให้มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเพิ่มรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้ดีขึ้น ตลอดจนสนับสนุนความมั่นคงทางด้านอาหารของอาเซียนและของโลก ซี่งขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบ
นางปราณี กล่าวว่า เพื่อเป็นการรองรับการเปลี่ยนแปลงทางการค้าและการก้าวสู่ AEC กรมการค้าต่างประเทศได้ปรับกลยุทธ์และทิศทางการทำงาน รวมทั้งการปรับโครงสร้างหน่วยงาน โดยได้จัดตั้งสำนักบริหารนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าขึ้นเป็นหน่วยงานภายในสังกัดกรมการค้าต่างประเทศ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการศึกษาวิเคราะห์ จัดทำยุทธศาสตร์ และเสนอข้อมูลเชิงนโยบายด้านการค้า เพื่อให้กรมการค้าต่างประเทศสามารถบรรลุเป้าหมายในการดำเนินงาน และสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางการค้าที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ