"ตอนนี้เรามีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 3.7% จาก 2.9% เมื่อปลายปีที่แล้ว อยู่อันดับที่ 7...อยากเห็นฟอร์ดติดท็อปไฟว์ แต่คงต้องใช้เวลาอีกสัก 2-3 ปี" น.ส.ยุคนธร วิเศษโกสิน รองประธานฝ่ายการตลาด ฝ่ายขายและบริการ ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าว
โดยปีนี้บริษัทฯ คาดว่าจะมียอดขายรวมทั้งสิ้นมากกว่า 5 หมื่นคัน เพิ่มจาก 2.9 หมื่นคันในปี 2554 หรือขยายตัวเพิ่มขึ้น 500% จากการเข้ามาทำตลาดครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2551 โดยยอดขายที่ปรับตัวสูงขึ้นมากนั้นเป็นผลมาจากนโยบายรถยนต์คันแรกของรัฐบาล ซึ่งทำให้มียอดส่งมอบรถยนต์แก่ลูกค้าต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 2556 หลังจากนั้นเชื่อว่าตลาดรถยนต์ในประเทศจะกลับมาแข่งขันกันอย่างรุนแรงอีกครั้ง โดยในส่วนของบริษัทฯ เองก็มีแผนการตลาดรองรับไว้แล้ว
"ในรอบทศวรรษนี้เรายังมีรถยนต์ที่จะเปิดตัวอีก 6 รุ่น ซึ่งต้องดูช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสม โดยจะเข้าไปแข่งขันในตลาดที่มีวอลุ่มสูง" น.ส.ยุคนธร กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะขยายโชว์รูมและศูนย์บริการทั่วประเทศให้ได้ 140 แห่งภายในสิ้นปี 2556 จากปัจจุบันที่มีอยู่ 118 แห่ง ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 80 แห่งในปี 2551 ภายใต้มาตรฐานการให้บริการเดียวกันของกลยุทธ์ One Ford
"ภายใน 18 เดือน เราจะใช้งบราวหนึ่งพันล้านบาทเพื่อปรับโฉมโชว์รูมใหม่หมด 100%" นายณรงค์ สีตลายน ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผู้จำหน่ายบริษัท ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าว
ด้านนายอดิศักดิ์ หวังพงษ์สวัสดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการบริการลูกค้า ฟอร์ดอาเซียน กล่าว นอกจากการขยายโชว์รูมและศูนย์บริการแล้ว บริษัทฯ ยังมีแผนขยายศูนย์ซ่อมสีและตัวถังจากปัจจุบันที่มีอยู่ 6 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ เนื่องจากเป็นตลาดใหญ่ของบริษัทฯ แต่ในอนาคตจะขยายออกไปยังหัวเมืองหลัก และจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ
สิ่งหนึ่งที่ทำให้บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการขยายตลาดคือ ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาตามระยะที่ประหยัดสุดเมื่อเทียบกับรถยนต์รุ่นเดียวกัน โดยในระยะ 1 แสนกิโลเมตรหรือ 5 ปี ฟอร์ดเฟียสต้าจะประหยัดกว่าคู่แข่ง 76%, ฟอร์ดโฟกัสประหยัดกว่าคู่แข่ง 43% และฟอร์ดเรนเจอร์ประหยัดกว่าคู่แข่ง 10%