นายเชิดพงษ์ สิริวิชช์ ประธานคณะกรรมการประสานงานของ 3 สมาคมโรงงานน้ำตาลทราย เปิดเผยว่า สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจในภารกิจหลักของกลุ่มพันธมิตรน้ำตาลอาเซียนนี้ ประกอบด้วย การให้ความสำคัญกับอ้อยในฐานะพืชอาหารและพืชพลังงาน, การร่วมมือกันพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำตาลทรายและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง, การสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในกลุ่มสมาชิกอุตสาหกรรมน้ำตาลน้ำตาลอาเซียน, การสนับสนุนภาครัฐในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2015
นอกจากนี้ ยังมีการหารือประเด็นด้านการทำวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับอ้อยและน้ำตาลทราย การแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยีต่างๆที่เกี่ยวข้อง รวมถึงส่งเสริมการค้าระหว่างกัน
นายเชิดพงษ์ กล่าวต่อว่า ประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากความร่วมมือนี้ นอกจากเรื่องพันธมิตรทางการค้าแล้ว ยังจะเป็นการเชื่อมต่อหารไหลของการลงทุนระหว่างกันและกัน และอาจนำไปสู่ความแข็งแกร่งและมีอำนาจต่อรองหากการแข่งขันในระดับที่ใหญ่กว่าระดับภูมิภาค
เนื่องจากทั้งไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ต่างก็มีจุดอ่อนและจุดแข็งแตกต่างกัน ซึ่งหากได้นำมาปรับปรุงโดยจัดทำข้อมูลวิจัยพัฒนาพันธุ์อ้อย การเพาะปลูก การจัดการน้ำ จากนั้นก็รวบรวมนำไปใช้ในอุตสาหกรรมน้ำตาลของแต่ะประเทศให้เกิดประโยชน์มากที่สุด และยังสามารถส่งเสริมซึ่งกันและกันจะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ซึ่งรวมถึงเรื่องคุณภาพของสินค้า โลจิสติกส์ด้วย
"การหารือถึงความร่วมมือกันในครั้งนี้ เป็นการนำคนที่ประกอบอุตสาหกรรมเดียวกัน ในภูมิภาคเดียวกันมาร่วมมือกันเพื่อให้เกิดประโยชน์ซึ่งกันและกัน เพราะโลกทุกวันนี้ การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจดีกว่าเดินเพียงลำพัง"นายเชิดพงษ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม การประชุมร่วมกันในวันนี้ถือเป็นครั้งแรก ซึ่งแต่ละประเทศจะนำรายละเอียดที่ได้จากการหารือกลับไปปรึกษากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของแต่ละประเทศ ก่อนจะกลับมาประชุมกันอีกครั้งเพื่อลงนามความร่วมมือ ซึ่งเบื้องต้นจะกำหนดให้มีการประชุมร่วมกันปีละ 1 ครั้ง โดยประเทศฟิลิปปินส์จะเป็นเจ้าภาพการประชุมในครั้งหน้า
ปัจจุบัน ภูมิภาคอาเซียนเป็นมีผลผลิตน้ำตาลรวม 17 ล้านตัน เป็นการบริโภคกันเองภายในภูมิภาค 14 ล้านตัน และที่เหลือเป็นการส่งออก ทำให้ภูมิภาคอาเซียนกลายเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก
สำหรับประเทศไทยส่งออกน้ำตาลปีละประมาณ 7 ล้านตัน ทำรายได้ให้ประเทศปีละประมาณ 3 แสนล้านบาท ขณะที่อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์เป็นผู้ซื้อรายใหญ่จากไทย โดยเฉพะอินโดนีเซียซื้อน้ำตาลจากไทยปีละ 1.2-1.6 ล้านตัน ดังนั้นการร่วมมือกับทั้งสองประเทศจึงน่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่ผู้ผลิตและผู้ใช้จะได้แลกเปลี่ยนข้อมูลของอุตสาหกรรมน้ำตาลซึ่งกันและกัน