ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลดลงเมื่อวานนี้หลังนายบารัค โอบามา ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอีกหนึ่งสมัย เนื่องจากนักลงทุนยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน แม้ว่าจะตัดปัจจัยด้านการเมืองออกไปและกลับมาให้ความสำคัญกับนโยบายในอนาคตและแนวโน้มการเติบโตแทน
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะหน้าผาทางการคลัง
ดูเหมือนว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะไม่ขานรับการได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐอีกหนึ่งสมัยของประธานาธิบดีโอบามา เนื่องจากดัชนีหลักทั้งสามดัชนีต่างก็รูดลงกว่า 2% ในขณะที่ราคาน้ำมันร่วงลงกว่า 4% ภายหลังการเลือกตั้งเพียงวันเดียว
เรย์มอนด์ คาร์โบน ประธานบริษัทพาราเมาท์ ออฟชั่นส์ กล่าวว่า “ผมรู้สึกดีใจที่ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเลือกตั้งได้ผ่านพ้นไป แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ยังคงมีความไม่แน่นอน"
นายคาร์โบนระบุว่า การปรับตัวลงของราคาน้ำมันและตลาดหุ้นเมื่อวานนี้ส่วนใหญ่สะท้อนให้เห็นถึงความวิตกกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของภาวะหน้าผาทางการคลัง (fiscal cliff) ซึ่งอาจเกิดขึ้นในสมัยที่สองของประธานาธิบดีโอบามา
ในขณะเดียวกัน สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือหลายแห่งได้เรียกร้องให้ประธานาธิบดีโอบามาดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อเลี่ยงภาวะหน้าผาทางการคลัง โดยเตือนว่าความล้มเหลวในการแก้ปัญหาดังกล่าวอาจนำไปสู่การปรับลดอันดับความน่าเชื่อของประเทศลงในปี 2556
มูดีส์ระบุว่า บริษัทอาจตัดสินใจในเรื่องดังกล่าวภายหลังการเจรจาทำข้อตกลงด้านงบประมาณ แม้ว่าภาวะหน้าผาทางการคลังที่กำลังเกิดขึ้นจะไม่ส่งผลให้มีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อลงในทันทีก็ตาม
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโอบามามีเวลาเหลือเพียงอีก 6 สัปดาห์สำหรับดำเนินการในเรื่องดังกล่าว แต่ภายหลังการเลือกตั้ง พรรครีพับลิกันก็ยังครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร
นายคาร์โบน ซึ่งมีมุมมองที่เป็นลบเกี่ยวกับการทำข้อตกลงในสภาคองเกรสกล่าวว่า “ทางตันที่เกิดขึ้นในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาทำให้ดูเหมือนว่าไม่มีการดำเนินการอะไรเลย"
การที่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้หมายถึงการปรับขึ้นอัตราภาษีโดยอัตโนมัติ และการปรับลดงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลลงทั้งสิ้น 6 แสนล้านดอลลาร์ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ปีหน้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวที่เปราะบางอยู่แล้วของเศรษฐกิจสหรัฐ
บิลล์ กรอส ซีอีโอร่วมของ Pimco ซึ่งเป็นบริษัทบริหารกองทุนตราสารหนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกกล่าวว่า “หากเกิดภาวะหน้าทางการคลัง ก็จะมีการผลักดันภาษีกำไรจากการขายหุ้นและภาษีเงินปันผลตามมา ซึ่งจะส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลงอีกอย่างมาก"
นายกรอสระบุว่า อัตราภาษีเงินปันผลที่สูงขึ้นจะส่งผลให้หุ้นขาดความน่าสนใจ ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงอีก 5-10%
“ผมคิดว่า โดยปกติแล้วประชาชนส่วนใหญ่มีความวิตกกังวลในเรื่องการปรับขึ้นอัตราภาษี ซึ่งจะลดแรงจูงใจในการลงทุนในตลาดหุ้น" คาร์โบนกล่าว
อัตราการขยายตัวอาจชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง
ภายหลังได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งได้เพียงไม่นาน ประธานาธิบดีโอบามายังคงมีความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าปัญหาด้านงบประมาณรออยู่ข้างหน้า
“งบประมาณที่ตึงตัวผนวกกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแออาจสกัดการฟื้นตัวของสหรัฐไม่ให้มีความคืบหน้ามากขึ้นในปีหน้า" แอนดรูว์ เคนนิงแฮม จากแคปปิตอล อีโคโนมิคส์ กล่าว “ดังนั้น อัตราว่างงานจึงน่าจะลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปเท่านั้น"
ในขณะเดียวกัน นักเศรษฐศาสตร์จากดอยช์แบงก์ประเมินว่า ความไม่แน่นอนด้านนโยบายก็ได้กดดันอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ลงไม่ต่ำกว่า 1% ในช่วงไม่กี่ปีมานี้
บทวิเคราะห์โดยเฉียว จือหง จากสำนักข่าวซินหัว