ทั้งนี้ สำหรับสัมปทานปิโตรเลียมที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสัญญาของบริษัท เชฟรอนสำรวจและผลิต จำกัด และ ปตท.สผ.ในแหล่งบงกชในอ่าวไทยจะหมดอายุสัมปทานในปี 65 เพราะตามกฎหมายปิโตรเลียมกำหนดให้ต่อสัญญาได้เพียงครั้งเดียวอายุ 10 ปี ซึ่งก็ได้มีการต่อสัญญาไปแล้ว หากสัญญาสัมปทานปิโตรเลียมของทั้ง 2 สัญญาหมดลง จะกระทบต่อภาคการผลิตไฟฟ้าของไทย เพราะปัจจุบันไทยใช้ก๊าซฯ เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า และหากต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG)มาทดแทนอาจทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้นด้วย โดยให้นำเสนอผลการศึกษาเบื้องต้นกลับเข้ามาภายในเดือนธ.ค.นี้
ขณะที่การเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ รอบที่ 21 ยังดำเนินการไม่ได้ เนื่องจากยังมีผู้ไม่เห็นด้วย ดังนั้นจึงต้องเร่งทำความเข้าใจ หากประชาชนยอมรับก็จะดำเนินการต่อไป
โดยก่อนหน้านี้ กระทรวงพลังงานมีแผนออกประกาศเชิญชวนให้ผู้สนใจยื่นขอสัมปทานปิโตรเลียม รอบที่ 21 จำนวน 22 แปลง ในช่วงเดือนก.ค.ที่ผ่านมา หลังได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการปิโตรเลียมแล้ว แต่ยังไม่สามารถดำเนินการได้จนถึงปัจจุบัน
ด้านนายทรงภพ พลจันทร์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่า แหล่งก๊าซฯ ที่สัญญาสัมปทานจะหมดลงในปี 65 ประกอบด้วย สัญญาของบริษัท เชฟรอน กำลังผลิตประมาณ 1,000 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน และแหล่งบงกชเหนือราว 900 ล้านลูกบาศก์/วัน ซึ่งจะมีผลต่อการผลิตไฟฟ้ารวม 14,000 เมกะวัตต์ โดยในส่วนเชฟรอน คาดว่าหลังปี 65 จะมีสำรองเหลืออีกประมาณอย่างน้อย 6 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต ส่วนบงกชนั้นได้ให้ ปตท.สผ. ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการศึกษาว่าจะมีปริมาณสำรองคงเหลือเท่าใดต่อไป
สำหรับการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา หากยังติดปัญหาเรื่องการทำความเข้าใจไม่ตรงกันระหว่าง 2 ประเทศโดยเฉพาะเรื่องแขตแดนนั้นก็ยังไม่ต้องรีบดำเนินการ เพราะปตท.สผ.เองก็มีความสามารถในการหาแหล่งก๊าซฯ อื่นมาทดแทนได้ เพียงแต่ประชาชนอาจต้องใช้พลังงานในราคาแพงขึ้น