(เพิ่มเติม) สภาพัฒน์ คาด GDP ปี 55 โต 5.5%, ปี 56 โตกลับสู่ระดับปกติ 4.5-5.5%

ข่าวเศรษฐกิจ Monday November 19, 2012 10:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สภาพัฒน์ ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจปี 55 เป็นเติบโต 5.5% ซึ่งเป็นขั้นต่ำของช่วงคาดการณ์เดิมที่ 5.5-6.0% เนื่องจากรับผลกระทบปัญหาเศรษฐกิจโลก ส่วนในปี 56 คาดว่าจะขยายตัว 4.5-5.5% โดยประเมินว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวขึ้นจากที่หดตัวในปีนี้ และราคาพืชผลเกษตรจะปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อมูลค่าการส่งออก ขณะที่บริโภคในประเทศและการลงทุนภาคเอกชนยังอยู่ในเกณฑ์ดี ประกอบกับ ภาครัฐจะมีการลงทุนโครงการจัดการระบบน้ำ และโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งที่ใช้งบประมาณสูงราว 2 ล้านล้านบาท

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปี 55 คาดว่าจะขยายตัว 5.5% ซึ่งเป็นขอบล่างของการประมาณการ 5.5-6.0% ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 20 ส.ค.55 เทียบกับการขยายตัว 0.1% ในปี 54 อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีที่ 3.0% เทียบกับ 3.8% ในปี 54 และบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 0.8% ของ GDP ลดลงจาก 1.7% ของ GDP ในปี 54

ทั้งนี้ สภาพัฒน์ มองว่า การฟื้นตัวของภาคการผลิตที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมมีความล่าช้ากว่าสมมติฐานครั้งก่อน โดยล่าสุด 2 พ.ย.55 ยังมีกิจการ 155 รายที่ยังไม่สามารถกลับมาดำเนินการหรือคิดเป็น 18.5% ของจำนวนโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม และสามารถกลับมาผลิตได้บางส่วนจำนวน 460 ราย ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับข้อมูลครั้งก่อน ทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปีขยายตัวต่ำกว่าที่ประมาณการไว้เดิม และทำให้โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเกิน 5.5% ลดลง

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมีความล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของราคาและปริมาณสินค้าส่งออก โดยการผลิตและการส่งออกของประเทศต่างๆ ของเอเชียเริ่มกลับมาฟื้นตัวอย่างช้าๆ ในเดือน ต.ค.55 แต่การขยายตัวของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนในประเทศมีแนวโน้มสูงกว่าการคาดการณ์ครั้งก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขยายระยะเวลามาตรการการคืนภาษีรถคันแรก ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากความล่าช้าในการฟื้นตัวของภาคการผลิตและการส่งออก

*มองศก.ปี 56 ขยายตัวชะลอลงสู่ระดับปกติ

สภาพัฒน์ คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 56 มีแนวโน้มขยายตัว 4.5-5.5% อัตราเงินเฟ้อในช่วง 2.5-3.5% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 1.0% ของ GDP

เศรษฐกิจไทยปีหน้ามีแนวโน้มชะลอตัวเข้าสู่อัตราการขยายตัวปกติมากขึ้น อุปสงค์ภาคเอกชนในประเทศยังคงมีพลวัตรการขยายตัวอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะชะลอตัวตามการลดลงของแรงส่งจากรายจ่ายเพื่อฟื้นฟูบูรณะประเทศภายหลังอุทกภัย แต่เม็ดเงินลงทุนใหม่ทั้งในภาครัฐและเอกชนจะมีบทบาทมากขึ้นในการขับเคลื่อนการลงทุนโดยภาพรวม เช่นเดียวกับการปรับตัวดีขึ้นของเงื่อนไขด้านเศรษฐกิจโลกทำให้ภาคการส่งออกมีบทบาทมากขึ้น เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มในเกณฑ์ดีทั้งในด้านราคา การจ้างงานและดุลบัญชีเดินสะพัด

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศมากขึ้น ภายใต้แนวโน้มดังกล่าว การบริหารจัดการเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 55 และในปี 56 ควรให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้เต็มศักยภาพควบคู่ไปกับการเพิ่มศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาวและการป้องกันความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

ปัจจัยเสี่ยงและข้อจำกัดเศรษฐกิจในปีหน้า คือ ปัญหาภัยแล้งยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สาคัญต่อการขยายตัวของการผลิตในภาคเกษตร ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกร การบริโภคภาคเอกชนและการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยภาพรวม, อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูงยังมีข้อจำกัดในการขยายตัว เนื่องจากต้นทุนค่าแรงที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งแนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาทและเศรษฐกิจยุโรปซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่สาคัญของสินค้าในกลุ่มนี้ยังคงอยู่ในช่วงของภาวะความตกต่ำทางเศรษฐกิจ

รวมทั้ง สภาพคล่องส่วนเกินในระบบเศรษฐกิจและการเงินโลกที่เกิดจากมาตรการขยายปริมาณเงินของประเทศต่างๆ ยังเป็นความเสี่ยงที่อาจจะสร้างแรงกดดันให้เงินบาทแข็งค่าเร็วกว่าการคาด รวมทั้งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดปัญหาความผันผวนในระบบเศรษฐกิจและการเงินโดยเฉพาะช่วงหลังของปีที่เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้มีการโยกย้ายเงินทุนออกจากตลาดพันธบัตรของประเทศที่มีความปลอดภัยออกมาแสวงหากำไรในตลาดเงิน ตลาดทุนของประเทศกำลังพัฒนาและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ มากขึ้น

ราคาน้ำมัน ยังมีความเสี่ยงที่จะเพิ่มขึ้นเร็วกว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะภายใต้แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและ สภาพคล่องส่วนเกินในระบบเศรษฐกิจและการเงินโลกที่อยู่ในระดับสูง การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในลักษณะดังกล่าวมีความเสี่ยงที่จะสร้างแรงกดดันด้านปัญหาเงินเฟ้อและสร้างแรงกดดันต่อการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย

ทั้งนี้ สภาพัฒน์ประเมินสมมุติฐานการประมาณการเศรษฐกิจปีหน้า ได้แก่ เศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกจะขยายตัว 3.9% และ 5.0% ตามลำดับ เร่งตัวขึ้นจากปี 55 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศสำคัญๆ โดยเฉพาะ สหรัฐฯ และจีน ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นคาดว่าจะชะลอตัว และเศรษฐกิจยุโรปขยายตัวต่ำ แต่เป็นการปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับการหดตัวในปี 55

ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยทั้งปี 56 มีแนวโน้มอยู่ในช่วง 108-113 ดอลลาร์/บาร์เรล เทียบกับ 109.5 ดอลลาร์/บาร์เรลในปี 55 อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยคาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 30.00-31.00 บาท/ดอลลาร์ โดยคาดว่าจะมีความผันผวนในกรอบแคบๆ ในช่วงที่เหลือของปี 55 และในช่วงไตรมาสแรกของปี 56 ตามความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ในประเทศเศรษฐกิจสำคัญๆ

ราคาสินค้าส่งออกและนำเข้าในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.0-5.0% และ 3.5-4.5% ตามลาดับ เทียบกับ 0.5% และ 1.8% ในปี 55 ตามการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าในตลาดโลกซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ทาให้ความต้องการและราคาสินค้าสำคัญ ๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐและยูโร การเก็งกำไรในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในช่วงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและสภาพคล่องส่วนเกินในระบบเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์สูง

ขณะที่นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยตลอดปี 56 จำนวน 22.5 ล้านคน เทียบกับ 21.9 ล้านคนในปี 55 หรือเพิ่มขึ้น 2.7%

*มุมมองต่อการบริหารจัดการเศรษฐกิจมหภาคในปี 56

สภาพัฒน์ มองว่า การบริหารจัดการเศรษฐกิจปีหน้าควรให้น้ำหนักกับการดำเนินมาตรการเพื่อให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้ตามศักยภาพควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการป้องกันความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเร่งรัดการส่งออก โดยเฉพาะตลาดที่มูลค่าการส่งออกในปี 55 ปรับตัวลดลงมาก รวมทั้งการแก้ไขปัญหาการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTB) ในตลาดส่งออกที่มีความสำคัญ

เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการดำเนินการตามโครงการลงทุนสาคัญๆ ของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการลงทุนภายใต้แผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ แผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งการเร่งรัดแผนการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ เพื่อเพิ่มศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว

รวมทั้ง ติดตามและเตรียมการเพื่อรองรับแนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาท โดย 1) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้กับภาคการผลิตและส่งออกโดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs ที่มีสัดส่วนของต้นทุนค่าแรงสูงและมีรายรับเป็นเงินตราต่างประเทศ 2) การสร้างโอกาสจากการแข็งค่าของเงินบาท โดยเฉพาะการส่งเสริมให้นักลงทุนไทยไปลงทุนในต่างประเทศ (TDI) การส่งเสริมการลงทุนในเครื่องจักรของภาคการผลิต และเร่งรัดการนำเข้าของโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ และ 3)การดำเนินนโยบายการเงินที่สอดคล้องกับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะแนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาท เศรษฐกิจในประเทศที่ยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว และแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในกรอบเป้าหมายของนโยบายการเงิน

และดำเนินการปรับโครงสร้างราคาพลังงานตามแผนที่กำหนดไว้ เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การปรับกฎระเบียบด้านการค้าและการลงทุนเพื่อให้สามารถได้รับประโยชน์จากการเปิดเสรีทางการค้า การเคลื่อนย้ายเงินทุนและแรงงาน ภายใต้กรอบข้อตกลงการจัดตั้งประชาคมอาเซียนในปี 58 ได้อย่างเต็มที่


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ