ทั้งนี้ แม้การเจรจาเรื่องแนวทางการหลีกเลี่ยงภาวะหน้าผาการคลังระหว่างโอบามาและผู้สภาคองเกรสเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาจะเป็นไปอย่างสร้างสรร แต่ทั้งสองฝ่ายก็ยังมีความคิดเห็นที่ต่างกันในหลายๆด้าน
เบอร์นันเก้กล่าวว่า ความไม่แน่นอนด้านการคลังจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจเรื่องการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจสหรัฐ พร้อมกับเตือนว่า เฟดยังไม่มีเครื่องมือที่จะรองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากภาวะหน้าผาการคลัง
"สภาคองเกรสและคณะทำงานของประธานาธิบดีโอบามาจำเป็นจะต้องปกป้องเศรษฐกิจจากผลกระทบของภาวะการคลังหดตัวในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มาตรการปรับลดงบประมาณการใช้จ่ายและการปรับขึ้นภาษีจะมีผลบังคับใช้ หรือที่เราเรียกกันว่า ภาวะหน้าผาการคลัง ซึ่งการลดการใช้จ่ายและขึ้นภาษีด้วยมูลค่าที่สูงในเวลาเดียวกันเช่นนี้ จะฉุดรั้งเศรษฐกิจสหรัฐให้เข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรง" เบอร์นันเก้กล่าวสุนทรพจน์ที่รัฐนิวยอร์ก
นอกจากนี้ เบอร์นันเก้กล่าวว่า "แม้การแก้ไขปัญหาด้านการคลังไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทุกฝ่ายก็ต้องร่วมมือกัน โดยเฉพาะฝ่ายนิติบัญญัติที่ควรจะหลีกเลี่ยงการดำเนินการที่ไม่จำเป็น ซึ่งจะเป็นการฉุดรั้งให้เศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง และหากเศรษฐกิจตกอยู่ในภาวะถดถอยครั้งใหญ่ อัตราการขยายตัวของจีดีพีก็จะชะลอตัวลงมากกว่าที่เฟดคาดการณ์ไว้"
ในการกล่าวสุนทรพจน์ครั้งนี้ เบอร์นันเก้แทบจะไม่ได้ส่งสัญญาณว่าเฟดจะใช้มาตรการผ่อนคลายเพิ่มเติมหรือไม่ เมื่อมาตรการ Operation Twist (การขายพันธบัตรระยะสั้นและเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวเพื่อฉุดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้ลดลงหมด) จะอายุลงในช่วงสิ้นปีนี้ โดยเบอร์นันเก้กล่าวเพียงว่า "การร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาการคลังในระยะยาวโดยไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจนั้น จะช่วยให้ปี 2556 เป็นปีที่ดีที่สุดสำหรับเศรษฐกิจอเมริกัน" สำนักข่าวซินหัวรายงาน