หากพิจารณามูลค่าการค้าชายแดนของไทย พบว่า เขตการค้าชายแดนด้านอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นจุดผ่านแดนถาวรที่มีมูลค่าทางค้าชายแดนของไทย-พม่า สูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับจุดผ่านแดนถาวรอื่นๆ โดยคิดเป็นมูลค่าการค้าประมาณ 20,000 - 30,000 ล้านบาท/ปี และในปี 2555 คาดว่าไทยจะมีมูลค่าทางการค้ามากกว่า 37,000 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 30 ของมูลค่าการค้าบริเวณชายแดนระหว่างไทย — พม่า ทั้งหมด
สำหรับแนวทางการพัฒนาและการเตรียมพร้อมด้านเศรษฐกิจการค้าในบริเวณชายแดนไทย-พม่า ในส่วนของด่าน อ.แม่สอด จ.ตาก นั้น หน่วยงานทุกภาคส่วนในจังหวัดตาก โดยเฉพาะใน อ.แม่สอด ควรบูรณาการร่วมกันในระดับจังหวัดและระดับภาคเพื่อเร่งขับเคลื่อนโครงการพัฒนาการค้าชายแดนให้เกิดขึ้นจริงในระยะเวลาอันใกล้นี้ โดยเฉพาะการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษใน อ.แม่สอด จ.ตาก
และโครงการจัดสร้างสะพานมิตรภาพไทย-พม่าแห่งที่ 2 เพื่อให้สอดรับต่อการจัดสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษของเมียวดี รัฐกะเหรี่ยงของพม่า ที่คาดว่าจะพร้อมเปิดใช้บริการก่อนปี 2558 อันจะเป็นอีกปัจจัยช่วยกระตุ้นให้มูลค่าทางการค้าชายแดนไทย-พม่าขยายตัวได้อย่างมหาศาล
นอกจากนี้ สศข.2 ยังได้จัดงานเสวนาเรื่อง“เปิดพรมแดนเมืองเศรษฐกิจใหม่ แม่สอด-เมียวดี" เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีผู้ร่วมเสวนาทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนกว่า 600 คน โดยมุ่งเน้นเชิญชวนให้นักธุรกิจไทยและพม่าเข้ามาลงทุนในเขตการค้าชายแดนแม่สอด — เมียวดี ให้มากขึ้น ในรูปแบบการนำเสนอศักยภาพ ความพร้อมโอกาสในการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้ง 2 แหล่ง และช่องทางการเจรจาทางการค้าในประเทศพม่าเพื่อนำไปประกอบการพิจารณาในการตัดสินใจลงทุนในพื้นที่ดังกล่าว
ส่วนแนวทางการพัฒนาและการเตรียมพร้อมของพม่าขณะนี้นั้น ภาครัฐของพม่าได้กำหนดนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการยึดถือและปฏิบัติตามกฏหมายการค้า/การลงทุน เพื่อให้การเคลื่อนย้ายสินค้า การเงิน และการลงทุน สามารถดำเนินการได้อย่างเสรีมากขึ้น โดยในเดือนมกราคม 2556 รัฐบาลพม่าจะประกาศใช้กฎหมายการค้าฉบับใหม่ที่ปรับปรุงจากกฎหมายการค้าเดิม เพื่อกระตุ้นให้นักลงทุนต่างชาติหันมาลงทุนในประเทศพม่ามากขึ้น เช่น การลดภาษี การลดอัตราดอกเบี้ย ให้อยู่ในระดับที่เป็นสากลมากยิ่งขึ้น รวมถึงอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติมีสิทธิเท่าเทียมกันนักลงทุนชาติตนเอง ตลอดจนการเชื่อมโยงการค้าในหลายจุด และพัฒนาเส้นทางการคมนาคมสู่ตลาดจีนและอินเดียในอนาคต รวมไปถึงการกำหนดมาตรการด้านการขยายโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อดำเนินธุรกิจในเบียนมาได้นานถึง 50 ปี
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของนักลงทุนไทยที่ต้องการเข้าไปประกอบธุรกิจในประเทศพม่าควรพิจารณาเลือกลงทุนในธุรกิจที่กำลังดำเนินนโยบายส่งเสริมและพัฒนาการค้าการลงทุนในประเทศ เช่น นโยบายด้านการสนับสนุนอุตสาหกรรมทดแทนการนำเข้า นโยบายด้านการยกระดับการพัฒนาการเกษตร และนโยบายด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูป ซึ่งนโยบายเหล่านี้รัฐบาลกลางจะส่งเสริมตามศักยภาพของพื้นที่นั้นๆ