"กิตติรัตน์"นำทีมโรดโชว์อังกฤษชูประเด็นไทยปรับเปลี่ยน-เร่งลงทุนเพิ่มขีดความสามารถ

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday November 27, 2012 16:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง พร้อมด้วย นายชัชชาติ สุทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม นำคณะหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ และภาคเอกชน ร่วมจัดงานพบปะนักลงทุน (Roadshow) ในหัวข้อ “Thailand: Positioning for Growth and Stability" เมื่อวันที่ 13 พ.ย.55 ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจด้านเศรษฐกิจแก่นักลงทุนต่างชาติกว่า 80 ราย
"การพบปะนักลงทุนในครั้งนี้ถือว่าประสบผลสำเร็จอย่างมาก สะท้อนจากความสนใจจำนวนมากของผู้จัดการกองทุนและนักลงทุนขนาดใหญ่จำนวนมากเข้าร่วมงาน และจากคำถามต่างๆ ด้านเศรษฐกิจและการเมืองที่นักลงทุนได้สอบถาม ซึ่งประเทศไทยได้ชี้แจงให้ข้อมูลอย่างครบถ้วนและชัดเจนขึ้นเป็นอย่างมาก"รายงานข่าว ระบุ

สำหรับผู้ที่ร่วมคณะไปด้วย ได้แก่ นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และนางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ พร้อมด้วยนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทยและนายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ นายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย และนายสมจินต์ ศรไพศาล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน

สาระสำคัญของงานพบปะนักลงทุนโดยสรุป ดังนี้ นายกิตติรัตน์ กล่าวเปิดงานพบปะนักลงทุนว่า ประเทศไทยอยู่ในช่วงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ (Economic Transformation) โดยในอดีต การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเน้นภาคการส่งออกสินค้าและบริการที่ใช้แรงงานสูงและมีต้นทุนการผลิตต่ำเป็นหลัก ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่เงินตราต่างประเทศไหลเข้าเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมิได้นำเงินตราดังกล่าวไปลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ และต้องมีการดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคา ซึ่งเป็นต้นทุนในการบริหารจัดการของประเทศ ในช่วงต่อไปรัฐบาลจะเน้นนโยบายในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยเน้นสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจในประเทศอย่างยั่งยืน ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของแรงงาน และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ในขณะที่ยังคงให้ความสำคัญกับการรักษาความยั่งยืนทางการคลัง

ขณะที่นายชัชชาติ กล่าวถึงโอกาสของไทยภายใต้การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียนว่า การพัฒนาระบบโลจิสติกส์เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ไทยและอาเซียนได้รับประโยชน์จากการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ การพึ่งพาการขนส่งทางถนนที่สูงกว่าร้อยละ 86 ของการขนส่งทั้งหมด ซึ่งทำให้ต้นทุนทางโลจิสติกส์สูงถึงร้อยละ 15.2 ของจีดีพี การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ทั้งรถไฟรางคู่ (Double Track) รถไฟความเร็วสูง (High Speed Train) การขนส่งมวลชน (Mass Transit) การเชื่อมโยงระบบการขนส่งไปสู่ประเทศอาเซียน (ASEAN Connectivity) การขยายท่าอากาศยาน และการขยายท่าเรือน้ำลึกของไทยและโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย จึงมีความจำเป็นเพื่อลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ ลดการนำเข้าพลังงานเพื่อการขนส่ง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดยรวมอย่างยั่งยืน

ส่วนนายอาคม กล่าวถึงเศรษฐกิจไทยในภาพรวมฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังเหตุการณ์อุทกภัยในช่วงปลายปี 54 โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากการขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นสำคัญ ทั้งนี้ คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 55 จะขยายตัวที่ร้อยละ 5.5-6.0 จากปีก่อน และจะสามารถขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีข้างหน้าที่ประมาณร้อยละ 5.0-6.0 ต่อปี จากการลงทุนของภาครัฐและภาคเอกชนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสำคัญต่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 58

นอกจากนี้ รัฐบาลได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศในยุทธศาสตร์หลัก 3 ด้าน ได้แก่ 1) Growth and Competitiveness ซึ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันโดยรวมของประเทศ ทั้งโครงสร้างพื้นฐานและทรัพยากรมนุษย์ 2) Inclusive Growth ซึ่งให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างการกระจายรายได้ให้มีความเหมาะสม และ 3) Green Growth ซึ่งเน้นการปรับกระบวนการประกอบธุรกิจและการใช้ชีวิตของประชาชนให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวจะส่งผลให้ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในอนาคตเกิดความสมดุล มีภูมิคุ้มกัน และสามารถแข่งขันได้ในสภาวะแวดล้อมของเศรษฐกิจโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง

ด้านนายอารีพงศ์ กล่าวถึง เสถียรภาพความยั่งยืนเชิงเศรษฐกิจว่า เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันนับว่ามีเสถียรภาพมากกว่าในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 อย่างมาก ทั้งจากความสมดุลระหว่างตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตรและธนาคารพาณิชย์ โดยลดการพึ่งพาการระดมทุนผ่านช่องทางธนาคารพาณิชย์เพียงอย่างเดียวดังเช่นในอดีต และความเพียงพอของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศต่อหนี้ต่างประเทศระยะสั้น นอกจากนี้ เสถียรภาพทางการคลังในปัจจุบันอยู่ในระดับดี ดังเห็นได้จากสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีในปัจจุบันที่อยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลัง

ในระยะต่อไป นโยบายการคลังเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศ ทั้งในด้านการดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลเพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน การปรับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 23 ในปี 2555 และร้อยละ 20 ในปี 2556 และการจัดหาแหล่งทุนให้เพียงพอสำหรับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ นอกจากนี้ กระทรวงการคลังมีแผนที่จะเข้าสู่งบประมาณสมดุลในอีก 4-5 ปีข้างหน้า และจะรักษาระดับหนี้สาธารณะให้อยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืน โดยเน้นย้ำว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 50 แม้ว่ามีแผนการลงทุนขนาดใหญ่ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศก็ตาม

นางสาวจุฬารัตน์ฯ ได้เชิญชวนให้นักลงทุน เข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ของไทยโดยกล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดตราสารหนี้ได้มีพัฒนาการที่สำคัญหลายประการ ทั้งในด้านความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ตราสารหนี้ ผ่านการออกพันธบัตรรัฐบาลในรูปแบบใหม่ อาทิ พันธบัตรรัฐบาลที่ผลตอบแทนอ้างอิงกับอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Linked Bonds: ILB) และการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ให้นักลงทุนรายย่อยผ่านตู้ ATM (Electronic Retail Bond) เป็นต้น

และในด้านการเสริมสร้างสภาพคล่องของตลาดตราสารหนี้ไทย ผ่านการขยายช่วงอายุของพันธบัตรรัฐบาลอ้างอิง (Benchmark Bond) ออกไปถึง 50 ปี พัฒนาการของตลาดตราสารหนี้ไทยดังกล่าวได้ส่งผลให้ตราสารหนี้ไทยเป็นที่สนใจมากจากนักลงทุนต่างประเทศ และในปี 2556 รัฐบาลมีแผนที่จะระดมทุนในประเทศในรูปแบบใหม่ โดยการออกพันธบัตรรัฐบาลประเภททยอยชำระคืนเงินต้น (Amortized Bonds) อายุ 25 ปี ในเดือน ธ.ค.55 และ ILB อายุ 15 ปี ในช่วงไตรมาส 1/56 รวมถึงอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้และช่วงเวลาที่เหมาะสมในการออกพันธบัตรสกุลเงินตราต่างประเทศในตลาดต่างประเทศและ Zero Coupon Bonds ด้วย

นายไพบูลย์ฯ ได้เชิญชวนให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นของไทย โดยกล่าวว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยได้ปรับสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปัจจัยสำคัญจากความมั่งคั่งและกำลังซื้อของประชาชนที่เพิ่มขึ้นและการลงทุนภาคเอกชนที่เร่งตัว ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปรับเพิ่มขึ้นตามลำดับ ทั้งนี้ นายไพบูลย์ฯ เห็นว่า แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวสูงขึ้นมาก แต่ยังสามารถปรับขึ้นได้อีกจาก P/E Ratio ของไทยที่ 12 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคที่ 13-14 เท่า

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 14 พ.ย.55 คณะผู้แทนไทย ซึ่งประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงการคลัง เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ได้เข้าพบกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท Moody’s Investor Services และ บริษัท Fitch Ratings เพื่อให้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคต รวมถึงผลจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลต่อความยั่งยืนทางการคลัง

นายกิตติรัตน์ ได้ให้ความมั่นใจกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทจัดอันดับว่า การดำเนินนโยบายของรัฐบาลจะไม่ส่งผลเสียต่อความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว โดยรัฐบาลมีนโยบายที่จะทำงบประมาณสมดุลในปี 2560 และเมื่อรวมวงเงินโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาทแล้ว ระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะไม่เกินร้อยละ 50 ซึ่งอยู่ต่ำกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 60


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ