ค่าเงินยูโรร่วงลง 0.27% แตะที่ 1.2937 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันจันทร์ที่ 1.2972 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลง 0.04% แตะที่ 1.6018 ดอลลาร์หรัฐ จากระดับ 1.6025 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น 0.10% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 82.140 เยน จากระดับ 82.060 เยน และพุ่งขึ้น 0.39% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9311 ฟรังค์ จากระดับ 0.9275 ฟรังค์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลง 0.14% แตะที่ 1.0444 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.0459 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ร่วงลง 0.24% แตะที่ระดับ 0.8196 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8216 ดอลลาร์สหรัฐ
ในช่วงแรกนั้นสกุลเงินยูโรดีดตัวขึ้นหลังจากรมว.คลังยูโรโซน และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) จะพิจารณาเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของกรีซ และจะให้เวลากรีซมากขึ้นในการชำระคืนเงินกู้ หลังจากการซื้อคืนพันธบัตร
แต่ยูโรร่วงลงในเวลาต่อมา เนื่องจากนักลงทุนไม่มั่นใจว่าการซื้อคืนพันธบัตรจะเป็นไปอย่างราบรื่น แม้เมื่อวานนี้ รมว.คลังยูโรโซนและไอเอ็มเอฟได้บรรลุข้อตกลงในการลดหนี้สินของกรีซลงสู่ระดับต่ำกว่า 124% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ภายในปี 2563 ซึ่งเป็นการขจัดอุปสรรคเกี่ยวกับแผนการช่วยเหลือทางการเงินสำหรับกรีซ
เจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนของยูโรโซนประเมินว่า ข้อตกลงดังกล่าวน่าจะนำไปสู่การเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือที่ล่าช้ามาเป็นเวลานานสำหรับกรีซจำนวนราว 4.4 หมื่นล้านยูโร (5.7 หมื่นล้านดอลลาร์) นอกจากนี้ ข้อตกลงยังได้ระบุถึงการปรับลดหนี้ของกรีซลงสู่ระดับต่ำกว่า 110% ภายในปี 2565 ผ่านทางมาตรการต่างๆ ซึ่งรวมถึงการปรับลดดอกเบี้ยและการขยายกำหนดชำระเงินกู้แก่กรีซ
ส่วนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นหลังจากที่นายริชาร์ด ฟิสเชอร์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาดัลลัส กล่าวแสดงความเห็นคัดค้านการขยายการผ่อนคลายนโยบายการเงิน พร้อมกับแสดงความเห็นว่าเฟดควรยุติการใช้มาตรการ Operation Twist ในเดือนหน้า เนื่องจากเขาไม่เชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าวจะมีประสิทธิภาพ
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยยอดขายบ้านใหม่เดือนต.ค. และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book ของเฟดทั้ง 12 เขต