วงเสวนาร่วมถอดรหัสวิกฤติศก.โลกวางแผนเชื่อมโยงไอซีที-อุตฯขับเคลื่อนศก.ไทย

ข่าวเศรษฐกิจ Friday November 30, 2012 18:20 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวีระพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ(กยอ.) คาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวถึง 5.7% ส่วนปี 56 จะขยายตัวได้ 4.6% ทั้งนี้ต้องดูเรื่องของการเงินไหลเข้ามามาก จึงต้องดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่า และดูแลสภาพคล่องให้ดี

"ปีนี้เศรษฐกิจไทยอาจโตได้ถึง 5.7% ดีกว่าคาด ปีหน้า 4.6%"นายวีรพงษ์ กล่าวระหว่างปาฐกถาพิเศษในหัวข้อการถอดรหัสเศรษฐกิจไทย ใต้เงาวิกฤตเศรษฐกิจ-การเมืองโลก ในงาน Thailand Economic Outlook 2013

ด้านสถานการณ์โลกมีความเปลี่ยนแปลงไปซึ่งขณะนี้มีการคาดการณ์ว่าประเทศสหรัฐฯ จะเป็นผู้ผลิตพลังงานรายใหญ่ที่สุดของโลกในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยจะผลิตน้ำมันและก๊าซเท่ากับซาอุดิอาระเบีย อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯต้องเตรียมรับมือกับปัญหาจากสิ่งแวดล้อมที่จะตามมา ขณะเดียวกันประเทศไทยต้องปรับยุทธศาสตร์โดยต้องหันมามองประเทศจีนเป็นตลาดมากกว่าจะเข้ามาลงทุนและต้องจับมือกับสหรัฐฯเพื่อส่งออกพลังงานในอนาคต

ทั้งนี้ การคาดหวังของชาวโลกที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีการคาดหวังว่าจะฟื้นตัวได้ดีขึ้นอีก 2-3 ปี ข้างหน้า และอาจจะส่งผลดีต่อสหภาพยุโรปด้วย เศรษฐกิจจีนสามารถขยายตัวได้ดีถึง 8% และได้มองว่าจีนน่าจะเป็นหัวรถจักรของโลกต่อไป

ส่วนผลกระทบทางการเมืองระหว่างญี่ปุ่นกับจีนนั้นมีความรุนแรงมากในระดับหนึ่ง ซึ่งปัญหาดังกล่าวจึงอยู่ที่ประเทศจีนจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร ขณะเดียวกันจีนมีความต้องการที่จะเข้ามาพัฒนารถไฟฟ้าความเร็วสูง และพัฒนาการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งนับว่าเป็นโอกาสดีของประเทศไทย

ด้านประเทศญี่ปุ่นก็มีการใช้ประโยชน์จากเกาะเตียวหยูมาเป็นประเด็นในการเลือกตั้ง มวลชนสร้างความกดดันโดยการเดินขบวนต่อต้านให้ปิดโรงงานนิวเคลียร์ จึงทำให้ญี่ปุ่นต้องมีการโยกย้ายนิคมอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ ซึ่งก็คาดว่าคงหนีไม่พ้นประเทศไทย ที่มีความเหมาะสมที่สุด ประกอบกับค่าเงินเยนปรับตัวแข็งขึ้น ทำให้ธุรกิจในประเทศยุบกิจการลง

ส่วนประเทศไทยยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องลงทุนที่สนามบินดอนเมือง เพื่อบริการนักท่องเที่ยวให้สะดวกสบาย ซึ่งสนามบินอู่ตะเภาต้องมีการเปิดให้บริการเช่นกัน รวมถึงท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุต แหลมฉบังก็มีความจำเป็น

ด้านนายอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวปาฐกถาพิเศษ"การยกระดับเศรษฐกิจไทยด้วยไอซีที"ว่า ไอซีทีเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ซึ่งประเทศไทยก็เช่นเดียวกันมีการปรับยุทธศาสตร์โดยใช้แผนแม่บทที่ชื่อว่า Smart Thailand และมีฐานกลยุทธอยู่ 3 ประการ 1. Smart Network ที่สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายไปสู่พื้นที่ห่างไกลเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล 2. Smart Government ที่ช่วยลดการลงทุนภาครัฐและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการประชาชน และ 3. Smart Business ซึ่งเป็นการกำหนดนโยบาย มาตรการเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนนำไอซีทีมาใช้ในการทำธุรกิจ

สำหรับในปี 2556 ได้มีการดำเนินการยกระดับไอซีทีของประเทศไทยโดยเน้น 8 เรื่องหลัก คือ 1.Smart Network 2.Smart Cloud เพื่อช่วยให้ภาครัฐเกิดความคุ้มทุนในด้านงบประมาณมากขึ้น 3.Th-e-Gif การสร้างระบบธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถให้บริการร่วมแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียวกัน 4.GTS เป็นระบบภูมิศาสตร์สารสนเทศ 5. Law & Regulation 6. Cyber Security 7. Logistic เป็นเรื่องของระบบที่เข้าไปรองรับการค้าขาย-การส่งออก ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนดำเนินการแบบบูรณาการ และ 8. การพัฒนาทรัพยากรบุคคล

อย่างไรก็ตาม การดำเนินการ 8 เรื่องข้างต้นนี้ ถ้าประสบผลสำเร็จจะส่งผลให้เกิดเป็น Smart Thailand ได้ในที่สุด ซึ่งตนเชื่อว่าไอซีทีจะเป็นตัวขับเคลื่อนประเทศ ประชาชนสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ง่าย

ขณะที่นายประเสริฐ บุญชัยสุข รมว.อุตสาหกรรม กล่าวถึงยุทธศาสตร์เชื่อมโยงอุตสาหกรรมไทยสู่เอเชีย ว่า ในปี 2556 จะมีการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจทางการเมืองของจีน อินเดีย จะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางประชากร ผู้สูงอายุจะมีมากขึ้น จะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านภูมิอากาศที่ขาดความสมดุล ซึ่งจะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของโลก และในปี 2558 จะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่จะเข้าสู่งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในประเทศนั้น โดยมียุทธศาสตร์หลักๆ คือ จะทำอย่างไรให้ทั้ง 10 ประเทศนั้นได้ประโยชน์สูงสุดจากอาเซียน ซึ่งได้มีการดำเนินการไปแล้ว คือ ส่งเสริมทรัพยากรในภาคอุตสาหกรรมและพัฒนากระบวนการผลิต ส่งผลให้แรงงานที่ศักยภาพสูงขึ้นเพื่อลดต้นทุนการผลิต

ทั้งนี้ สิ่งที่จะดำเนินการต่อไปในอนาคต คือ 1.โครงการเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการในธุรกิจภาคอุตสาหกรรม เพื่อสร้างองค์ความรู้และรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น 2.การนำนักลงทุนไทยที่มีศักยภาพไปลงทุนในต่างประเทศ ขณะเดียวกันได้มีการเพิ่มการส่งเสริมการผลิต การพัฒนาแรงงานที่มีฝืมือ และการยกระดับสินค้า และส่งเสริมให้มีการพัฒนาศึกษาวิจัย ซึ่งได้มีการผลักดันให้เกิดอุตสาหกรรมสีเขียว

สำหรับการดำเนินงานด้านอื่นๆได้มีการศึกษาหาพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่ในอนาคต ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด โดยวันที่ 12 ธ.ค.นี้ บีโอไอจะมีการเปิดสำนักงานบริการข้อมูลแก่นักลงทุนไทยไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งตนได้แนะว่าอยากเห็นนักลงทุนไทยไปลงทุนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้

"การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในปี 2558 หวังว่าประเทศไทยจะก้าวไปข้างหน้า โดยมีความพร้อมในการแข่งขัน มีประสิทธิภาพและคุณภาพ ซึ่งอยากให้ภาครัฐและภาคเอกชนร่วมมือกันก้าวสู่ประชาคมอาเซียน อย่างมั่นใจ" รมว.อุตสาหกรรม กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ