ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้น 0.56% แตะที่ 1.3057 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.2984 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่สกุลเงินปอนด์พุ่งขึ้น 0.55% แตะที่ 1.6098 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.6010 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง 0.29% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 82.210 เยน จากระดับ 82.450 เยน และร่วงลง 0.25% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 0.9254 ฟรังค์ จากระดับ 0.9277 ฟรังค์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนตัวลง 0.08% แตะที่ 1.0418 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.0426 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์อ่อนแรงลง 0.17% แตะที่ 0.8214 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8200 ดอลลาร์สหรัฐ
สกุลเงินยูโรพุ่งขึ้นหลังจากมีรายงานว่าสเปนได้ขอความช่วยเหลือด้านการเงินอย่างเป็นทางการจากสหภาพยุโรป (อียู) มูลค่า 3.7 หมื่นล้านยูโร เพื่อช่วยคลี่คลายวิกฤตการณ์ของธนาคารสเปน 4 แห่งที่กำลังประสบปัญหาด้านการเงิน
นอกจากนี้ ยูโรยังได้รับแรงหนุนหลังจากรัฐบาลกรีซได้เปิดตัวโครงการซื้อคืนพันธบัตรวงเงิน 1 หมื่นล้านยูโร (1.3 หมื่นล้านดอลลาร์) เมื่อวานนี้ ด้วยความหวังที่จะลดภาระหนี้สินที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการให้เงินช่วยเหลือจากนานาประเทศในอนาคต
ทั้งนี้ ภายใต้โครงการดังกล่าว ผู้ถือพันธบัตรจะได้รับการจ่ายคืนในราคาซื้อที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับกำหนดไถ่ถอนของพันธบัตร ซึ่งจะเริ่มจากราคาขั้นต่ำสุดที่ 30.2% ของมูลค่าที่ตราไว้สำหรับพันธบัตรอายุ 25 ปี และ 30 ปี ไปจนถึง 40.1% สำหรับพันธบัตรอายุ 10 ปี นอกจากนี้ ผู้ถือพันธบัตรจะได้รับตราสารหนี้ที่ออกโดยกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) เป็นการแลกเปลี่ยน
ส่วนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ หลังจากสถาบันจัดการอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐลดลงสู่ระดับ 49.5 ในเดือนพ.ย. จากระดับ 51.7 ในเดือนต.ค. บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของสหรัฐกลับเข้าสู่ภาวะหดตัวอีกครั้งหลังจากที่ขยายตัวติดต่อกันสองเดือน เนื่องจากดัชนีอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งเป็นเส้นแบ่งระหว่างการขยายตัวและหดตัว