ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้น 0.34% แตะที่ 1.3098 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันจันทร์ที่ 1.3053 ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินปอนด์อ่อนตัวลง 0.08% แตะที่ 1.6101 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.6088 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สรหัฐร่วงลง 0.06% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 81.820 เยน จากระดับ 82.230 เยน และขยับขึ้น 0.06% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9261 ฟรังค์ จากระดับ 0.9255 ฟรังค์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 0.54% แตะที่ 1.0474 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.0418 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้น 0.40% แตะที่ 0.8240 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8207ดอลลาร์สหรัฐ
สกุลเงินยูโรพุ่งขึ้นหลังจากมีรายงานว่ารัฐบาลกรีซได้เปิดตัวโครงการซื้อคืนพันธบัตรวงเงิน 1 หมื่นล้านยูโร (1.3 หมื่นล้านดอลลาร์) เมื่อวานนี้ ด้วยความหวังที่จะลดภาระหนี้สินที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการให้เงินช่วยเหลือจากนานาประเทศในอนาคต โครงการซื้อคืนพันธบัตรนับเป็นความพยายามล่าสุดของกรีซต่อจากการปรับลดมูลค่าพันธบัตร หรือการทำ haircut โดยสมัครใจเมื่อต้นปีนี้ และเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่บรรดาเจ้าหนี้นานาประเทศได้ให้ความเห็นชอบร่วมกันเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินช่วยเหลืองวดใหม่มูลค่า 3.4 หมื่นล้านยูโรให้กับกรีซในเดือนธ.ค.
ทั้งนี้ ภายใต้โครงการดังกล่าว ผู้ถือพันธบัตรจะได้รับการจ่ายคืนในราคาซื้อที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับกำหนดไถ่ถอนของพันธบัตร ซึ่งจะเริ่มจากราคาขั้นต่ำสุดที่ 30.2% ของมูลค่าที่ตราไว้สำหรับพันธบัตรอายุ 25 ปี และ 30 ปี ไปจนถึง 40.1% สำหรับพันธบัตรอายุ 10 ปี นอกจากนี้ ผู้ถือพันธบัตรจะได้รับตราสารหนี้ที่ออกโดยกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) เป็นการแลกเปลี่ยน
นอกจากนี้ ยูโรยังได้รับแรงหนุนหลังจากสเปนได้ขอความช่วยเหลือด้านการเงินอย่างเป็นทางการจากสหภาพยุโรป (อียู) มูลค่า 3.7 หมื่นล้านยูโร เพื่อช่วยคลี่คลายวิกฤตการณ์ของธนาคารสเปน 4 แห่งที่กำลังประสบปัญหาด้านการเงิน