ค่าเงินยูโรอ่อนตัวลง 0.14% แตะที่ 1.3075 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันอังคารที่ 1.3093 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนตัวลง 0.08% แตะที่ 1.6088 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.6101 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้น 0.60% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 82.380 เยน จากระดับ 81.890 เยน และขยับลง 0.03% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 0.9260 ฟรังค์ จากระดับ 0.9263 ฟรังค์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลง 0.11% แตะที่ 1.0456 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.0468 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้น 0.51% แตะที่ 0.8279 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8237 ดอลลาร์สหรัฐ
สกุลเงินยูโรอ่อนค่าลงหลังจากมาร์กิตรายงานว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนพ.ย.อยู่ที่ระดับ 46.5 ซึ่งแม้ว่าเพิ่มขึ้นจากเดือนต.ค.ที่ระดับ 45.7 แต่ดัชนีที่เคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของยูโรโซนยังคงอยู่ในภาวะหดตัว ขณะที่ยูโรสแตทรายงานว่า ยอดค้าปลีกเดือนต.ค.หดตัวลง 1.2% จากเดือนก.ย. ซึ่งเป็นการหดตัวลงหนักสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.ปีนี้ ส่วนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐ โดย ADP Employer Services ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยตลาดแรงงานในสหรัฐ เปิดเผยว่า ภาคเอกชนทั่วสหรัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 118,000 ตำแหน่ง ขณะที่สำนักงานจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการเดือนพ.ย.ขยายตัวขึ้นสู่ระดับ 54.7 ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ของตลาด และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อของโรงงานอุตสาหกรรมขยายตัวขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย 0.8% ในเดือนต.ค.