สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 3.7 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ 0.22% ปิดที่ 1,705.5 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนไหวในช่วง 1,684.10-1,706.90 ดอลลาร์ในระหว่างวัน อย่างไรก็ตาม ราคาทองยังคงปรับตัวลดลงเป็นสัปดาห์ที่สองติดต่อกัน
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.ขยับขึ้น 1.7 เซนต์ หรือ 0.05% ปิดที่ 33.131 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 1.85 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 3.6630 ดอลลาร์/ปอนด์
สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค.เพิ่มขึ้น 6.3 ดอลลาร์ หรือ 0.39% ปิดที่ 1,607 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ขยับขึ้น 95 เซนต์ หรือ 0.1% ปิดที่ 698.00 ดอลลาร์/ออนซ์
ราคาทองคำร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบหนึ่งเดือนในช่วงแรกของการซื้อขาย หลังจากที่กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรปรับตัวขึ้นสูงเกินคาด 146,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. เทียบกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 80,000-90,000 ตำแหน่งโดยประมาณ ขณะที่อัตราว่างงานปรับตัวลดลงสู่ระดับ 7.7% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2551 เมื่อเทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทรงตัวเท่ากับเดือนก่อนหน้านี้ที่ระดับ 7.9%
ข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาเป็นบวกดังกล่าวได้ผลักดันให้นักลงทุนขายทอง เนื่องจากความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่นโลหะมีค่า ลดลง
อย่างไรก็ดี ราคาทองฟื้นตัวขึ้นหลังจากนั้น เนื่องจากมีนักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนจำนวนหนึ่งคาดการณ์ว่า เฟดจะตัดสินใจใช้มาตรการกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจต่อไปอีก หลังจากที่มาตรการ Operation Twist จะหมดอายุสิ้นปีนี้ มาตรการ Operation Twist คือการที่ธนาคารกลางสหรัฐซื้อพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป และขายพันธบัตรระยะสั้นประเภทที่มีอายุไม่เกิน 3 ปีในวงเงินเท่ากัน เพื่อที่จะฉุดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้ปรับตัวลดลง
โดยปกติแล้ว ทองคำจะได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเงิน เนื่องจากนักลงทุนจะเข้าซื้อโลหะมีค่า เพราะวิตกว่ามาตรการเหล่านี้อาจทำให้มูลค่าของเงินลดลง นอกจากนี้ นักลงทุนมักใช้ทองเป็นตัวปกป้องความเสี่ยงจากเงินเฟ้อซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นจากมาตรการผ่อนคลายทางการเงินต่างๆ
ทั้งนี้ นักลงทุนกำลังมุ่งความสนใจไปที่การประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐในวันที่ 11-12 ธ.ค. ซึ่งเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้
นอกจากนี้ ราคาทองยังได้แรงหนุนจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐที่ร่วงลงเกินคาดในเดือนธ.ค. สู่ระดับต่ำในรอบ 4 เดือน เนื่องจากชาวอเมริกันวิตกกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่อาจจะมีการขึ้นภาษีในปีหน้า โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงต้นเดือนธ.ค.ของรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกน ร่วงลงแตะ 74.5 จาก 82.7 ในเดือนพ.ย. ซึ่งตัวเลขล่าสุดเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังคงจับตาดูความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาด้านการคลังระหว่างรัฐบาลสหรัฐและสภาคองเกรสอย่างใกล้ชิด โดยนายจอห์น โบห์เนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจากพรรครีพับลิกันกล่าวเมื่อวันศุกร์ว่ายังไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาเรื่องดังกล่าว พร้อมกับเรียกร้องให้ประธานาธิบดี บารัค โอบามาจัดทำขอเสนอใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะหน้าผาการคลัง (fiscal cliff)