ค่าเงินยูโรปรับตัวขึ้น 0.12% แตะที่ 1.2940 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.2924 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้น 0.23% แตะที่ 1.6073 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.6036 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง 0.11% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 82.370 เยน จากระดับ 82.460 เยน และอ่อนค่าลง 0.09% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 0.9332 ฟรังค์ จากระดับ 0.9340 ฟรังค์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียทรงตัวที่ 1.0485 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์แข็งค่าขึ้น 0.18% แตะที่ 0.8336 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8321 ดอลลาร์สหรัฐ
นักลงทุนเข้าซื้อเงินยูโรเพื่อความปลอดภัยหลังจากมีข่าวว่า นายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลีจะประกาศลาออกภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าการลาออกของนายมอนติจะยิ่งทำให้สถานการณ์ด้านการเงินของอิตาลีย่ำแย่ลงอีก
นอกจากนี้ เงินยูโรยังได้รับแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของเยอรมนีและจีน โดยเยอรมนีรายงานว่า ยอดส่งออกเดือนต.ค.ดีดตัวขึ้น 0.3% หลังจากที่ร่วงลง 2.45 ในเดือนพ.ย.
ด้านสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 10.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี หรือเพิ่มขึ้น 9.6% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ขณะที่ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้นเพิ่มขึ้น 14.9% สู่ระดับ 1.85 ล้านล้านหยวนเมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งช่วยหนุนยอดค้าปลีกในช่วง 11 เดือนแรกทะยานขึ้น 14.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 18.68 ล้านล้านหยวน
สกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียย่ำฐานทรงตัว หลังจากธนาคารกลางออสเตรเลียประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 3.0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ในการประชุมครั้งล่าสุด เนื่องจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจทั่วโลก
นายเกลน สตีเวนส์ ผู้ว่าการธนาคารกลางออสเตรเลียกล่าวภายหลังการประชุมว่า สกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าที่ธนาคารกลางคาดการณ์ไว้ อันเนื่องมาจากราคาสินค้าส่งออกปรับตัวลดลงและเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวลง และการที่ธนาคารกลางออสเตรเลียตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าออสเตรเลียได้รับแรงกดดันจากอัตราค่าแรง รวมทั้งยอดการใช้จ่ายในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ที่ปรับตัวลดลง และอัตราว่างงานที่อยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง