ทั้งรัฐสภาสหรัฐและประธานาธิบดีบารัค โอบามา ต่างก็ไม่มีท่าทีจะลงรอยกันในเรื่องงบประมาณ และความล้มเหลวในการตกลงกันให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ จะส่งผลให้มีเกิดการปรับขึ้นภาษีและปรับลดงบประมาณลงโดยอัตโนมัติ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ระบุว่า อาจจะทำให้สหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยท่ามกลางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เชื่องช้า หลังเกิดภาวะเศรษฐกิจขาลงครั้งล่าสุด
นอกจากนี้ ภาวการณ์ดังกล่าวอาจกระตุ้นให้เกิดความเสียหายในหลายประเทศทั่วโลกที่ต้องพึ่งพาตลาดสหรัฐในการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยนายเจมส์ เอฟ. สมิธ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของพาร์เสค ไฟแนนเชียล กล่าวว่า “หากความขัดแย้งดังกล่าวยืดเยื้อไปจนถึงเดือนมิถุนายนหรือนานกว่านั้น ก็จะเป็นที่ชัดเจนว่าจะเป็นสาเหตุของการเข้าสู่ภาวะถดถอยที่รุนแรง"
ด้านหนังสือพิมพ์อินเดียน เอ็กซ์เพรส ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์รายวันในอินเดีย แสดงความเห็นว่า ช่วงระยะเวลาในการเกิดความขัดแย้งเกี่ยวกับหน้าผาการคลังในปัจจุบันนับว่าค่อนข้างย่ำแย่ ขณะที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจอินเดียได้ปรับตัวลงสู่ระดับ 5.5% ในไตรมาสแรกปีนี้ และยังต้องจับตาดูว่าเศรษฐกิจอินเดียจะสามารถต้านทานปัจจัยลบจากต่างประเทศได้หรือไม่
ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์จูง อัง เดลี่ ของเกาหลีใต้รายงานโดยอ้างคำพูดของนายลี ซึง-วู จากแดวู ซิเคียวริตี้ส์ ว่า “ปัญหาหน้าผาการคลังมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อตลาดหุ้น เนื่องจากนักลงทุนวิตกว่าเศรษฐกิจจะเผชิญภาวะถดถอยซ้ำสองอีกครั้ง อันเนื่องมาจากภาวะหน้าผาทางการคลังที่อาจจะเกิดขึ้น ดังนั้น ดัชนีตลาดหุ้นเกาหลีใต้จึงปรับตัวขึ้นและลงตามข่าวการเจรจากันในวอชิงตัน" สำนักข่าวซินหัวรายงาน