"ปัญหาราคาปาล์มตกต่ำที่ยืดเยื้อมานานว่าเป็นผลมาจากการแทรกแซงของรัฐบาล ทำให้ราคาถูกบิดเบือน ซึ่งในความเป็นจริงอุตสาหกรรมสามารถบริหารจัดการด้วยตัวมันเองได้ ผลผลิตจะมากช่วงมีนาคม พอปลายปีจะน้อยลง ราคาก็จะขึ้นลงตามดีมานด์ซัพพลาย แต่ปีนี้อาจจะพิเศษเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ทำให้ปีนี้ทั้งปีไม่มี Peak ไม่มี Low มีทั้งปีแต่ส่งออกไม่ได้เพราะติดปัญหาการเก็บภาษีส่งออก"นางวิวรรณ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการส่งออกจากผู้ส่งออก 10 บาท/กก.ทำให้ลูกค้าขาดความเชื่อมั่น เพราะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าช่วงไหนรัฐบาลจะเข้ามาแทรกแซงอีก ทำให้เวลาติดต่อกับลูกค้าต่างประเทศจึงไม่มีรายใดอยากมาเป็นโบรกเกอร์ให้
ส่วนกรณีที่เกษตรกรเรียกร้องให้รัฐบาลพยุงราคาผลปาล์มที่ 5 บาท/กก. นางวิวรรณ กล่าวว่า เรื่องนี้คงต้องมีการหารือในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ(กนป.)ในวันที่ 20 ธ.ค.นี้ก่อนว่าควรจะรับซื้อในราคาเท่าใด หรือจะใช้มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรเพิ่มเติมหรือไม่
"ราคา 5 บาทเป็นราคาที่เกษตรกรชาวสวนปาล์มทางภาคใต้เสนอ และรัฐก็รับปากจะช่วย แต่จะช่วยในราคาเท่าไหร่ ต้องผ่าน กนป.ก่อน"นางวิวรรณ กล่าว
ปัจจุบัน ต้นทุนของเกษตรกรชาวสวนปาล์มอยู่ที่ประมาณ 3.80 บาท/กก.แต่ราคาที่ขายได้อยู่ที่ 2.50 บาท/กก.ลดลงจากต้นปีที่อยู่ในระดับ 7 บาท/กก.เป็นผลมาจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกซึม ทำให้ความต้องการซื้อหดหาย ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกถูกลงและความต้องการใช้ไบโอดีเซลลดลง ตั้งแต่เกิดวิกฤตยูโรโซน สหรัฐอเมริกา จีน ไม่มีการซื้อเลย ผลผลิตทั่วโลกล้น
"ปาล์มเป็นสินค้า Commodity นักลงทุนมักจะเข้ามา Speculate(เก็งกำไร)เมื่อสถานการณ์โลกไม่มีอะไรตื่นเต้นนักลงทุนก็หันไปเก็งกำไรราคาทองคำกัน ยิ่งดีมานด์ไบโอดีเซลไม่มี ซัพพลายก็ล้นตลาด"นางวิวรรณ กล่าว
ปัจจุบัน สต็อกปาล์มของไทยอยู่ที่ 3.4 แสนตัน เกินระดับที่เหมาะสมที่ควรจะต้องมีราว 2 แสนตัน ซึ่งหากช่วงไหนลดเหลือ 1.7 แสนตันต้องเข้ามาดูแล ขณะที่ปริมาณการใช้ในประเทศอยู่ที่ 1.3 แสนตัน แบ่งเป็นเพื่อการบริโภค 8 หมื่นตัน ใช้สำหรับไบโอดีเซล 5 หมื่นตัน แต่ถ้าช่วงไหนผลผลิตมากก็อาจจะส่งออกบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อให้ราคาในประเทศมีเสถียรภาพ
อย่างไรก็ตาม กนป.กำลังศึกษาแนวทางกระตุ้นการใช้ปาล์มน้ำมันในประเทศให้เพิ่มมากขึ้น โดยร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ศึกษาความเป็นไปได้ในการนำปาล์มน้ำมันไปเผาเพื่อผลิตกระแสไฟ
"ต้องยอมรับด้วยว่าปัญหาปาล์มเป็นปัญหาการเมือง รัฐบาลอยากเอาใจผู้บริโภคจึงตรึงราคาที่ปลายทาง แต่เพิกเฉยที่จะช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนปาล์มที่ส่วนใหญ่อยู่ทางภาคใต้และไม่ใช่ฐานคะแนนเสียง ดังนั้น จึงอยากขอร้องว่าอย่านำปากท้องของเกษตรกรมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองให้ช่วยเหลือเกษตรกรอย่างจริงจัง และอย่าปัดความรับผิดชอบ หรือเตะถ่วงปัญหา"นางวิวรรณ กล่าว
พร้อมกับระบุว่าในการทำงานที่ผ่านมาไม่ได้มีการบูรณาการการทำงานเพื่ออุตสาหกรรมในระยะยาว เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจบเป็นครั้งๆ ไป จึงควรเลือกแนวทางที่เหมาะสมกว่านี้