ขณะที่ โรงกลั่นจะรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงสกัด ที่ราคากิโลกรัมละ 25 บาท และทางรัฐบาลจะชดเชยส่วนต่างราคาให้ เพราะราคารับซื้อสูงกว่าราคาตลาดในปัจจุบันที่อยู่ที่กิโลกรัมละ 20-21 บาท เพื่อให้ยังคงเพดานราคาขายปลีกน้ำปาล์มบรรจุขวดขนาด 1 ลิตร ในราคาไม่เกินขวดละ 42 บาท
ส่วนการแก้ไขปัญหาผลผลิตส่วนเกินนั้น คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ได้มีมติให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) เข้าไปรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงสกัดในราคากก.ละ 25 บาท จำนวน 50,000 ตัน เพื่อดึงผลผลิตส่วนเกินออกจากตลาดที่ปัจจุบันมีส่วนเกินอยู่เดือนละ 50,000-80,000 ตัน โดยจะใช้เงินทุนหมุนเวียนจากกองทุนช่วยเหลือเกษตรกร ซึ่งคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร(คชก.)จะอนุมัติต่อไป คาดว่าจะใช้วงเงินประมาณ 1,250 ล้านบาท
สำหรับการรับซื้อน้ำมันดิบดังกล่าว อคส.จะรับซื้อจากโรงสกัดน้ำมันทั้ง 80 ราย โดยสัดส่วนการรับซื้อจะคำนวณจากปริมาณสต็อกที่แต่ละรายมีอยู่ และปริมาณผลผลิตที่ได้ทำการผลิตตั้งแต่เดือนม.ค.-พ.ย.55 และเมื่อรับซื้อแล้วจะนำไปเก็บไว้ที่ถังเก็บของเอกชนที่ จ.สุราษฎร์ธานี และบางปะกง เมื่อสถานการณ์คลี่คลายจะนำออกขาย โดยคาดตั้งแต่เดือนม.ค.56 เป็นต้นไป ผลผลิตปาล์มสดจะเริ่มน้อยลงและราคาปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก มีแนวโน้มราคาสูงขึ้น
ทั้งนี้ จะนำผลการประชุมครั้งนี้เสนอต่อนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ ก่อนเสนอที่ประชุม คชก.พิจารณาในสัปดาห์หน้า และจะนำผลการหารือดังกล่าวเผยแพร่ให้กับกลุ่มเกษตรกรรับทราบอย่างทั่วถึงด้วย