ทั้งนี้โครงการดังกล่าวแบ่งเป็น 2 ระยะ โดยระยะแรกดำเนินการระหว่างธ.ค.55 - พ.ค.56 นำร่องในพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง 10 จังหวัด ได้แก่ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สุพรรณบุรี นครสวรรค์ พิษณุโลก พิจิตร และกำแพงเพชร ซึ่งเป็นพื้นที่ในโครงการจัดระบบการปลูกข้าว ส่วนระยะที่สอง ตั้งแต่มิ.ย.56 เป็นต้นไป ดำเนินการในพื้นที่ที่มีการปลูกข้าวตั้งแต่ 200,000 ไร่ขึ้นไปในจำนวน 50 จังหวัด(รอบการปลูกข้าวนาปี)
นายชัยฤทธิ์ ดำรงเกียรติ อธิบดีกรมการข้าว กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับเกณฑ์การคัดเลือกเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะดำเนินการคัดเลือกเกษตรกรจังหวัดละ 10 ราย โดยต้องมีคุณสมบัติดังนี้ 1.มีความสนใจและความพร้อมไปสู่การเป็นเกษตรปราดเปรื่องด้านการผลิตข้าว เช่น สมาชิกกลุ่มเกษตรกรดีเด่นสาขาทำนา ยุวเกษตรกร เป็นต้น 2.มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดเดียวกับพื้นที่ประกวด โดยมีพื้นที่การทำนาติดต่อกัน 1 แปลง ขนาด 5 ไร่ 3.มีความรู้ด้านการผลิตข้าว โดยสามารถเป็นวิทยากรถ่ายทอดเทคโนโลยี หรือให้คำแนะนำ ปรึกษาแก่ผู้อื่นได้ รวมถึงสามารถเป็นเกษตรกรต้นแบบ หรือจุดเรียนรู้ให้กับผู้อื่นได้
4.มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจโดยมีการวิเคราะห์ข้อมูล วางแผน บริหารจัดการผลผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด เข้าถึงแหล่งข้อมูลทั้งจากเจ้าหน้าที่ และระบบสารสนเทศ หรือสื่อสารอื่นๆ เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น 5.มีความตระหนักถึงคุณภาพสินค้าและความปลอดภัยของผู้บริโภค โดยมีการผลิตข้าวตามระบบ GAP หรือเกษตรอินทรีย์ หรือการผลิตที่ได้มาตรฐานในระบบอื่นๆ 6.มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยมีกระบวนการผลิตที่ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะ และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม มีกิจกรรมช่วยเหลือชุมชนและสังคมอย่างต่อเนื่องจนได้รับการยอมรับจากสมาชิกชุมชน
7.มีความภูมิใจในความเป็นเกษตรกร โดยมุ่งมั่นในการประกอบอาชีพทำนา รักและหวงแหนพื้นที่ทำนาไว้ให้รุ่นลูกหลานต่อไป ตลอดจนมีความพึงพอใจและมีความสุขในการประกอบอาชีพ 8.มีการบริหารจัดการผลผลิตและการตลาด โดยมีความสามารถในการบริหารจัดการ สร้างความเชื่อมโยงการผลิตและการตลาดเพื่อให้ขายผลผลิตได้
สำหรับเกษตรกรที่ชนะการประกวดจะได้รับรางวัลดังนี้ รางวัลที่ 1 ได้รับโล่และเงินรางวัล 30,000 บาท, รางวัลที่ 2 ได้รับโล่และเงินรางวัล 20,000 บาท, รางวัลที่ 3 ได้รับโล่และเงินรางวัล 15,000 บาท และรางวัลชมเชย จำนวน 7 รางวัลได้รับโล่และเงินรางวัล 5,000 บาท