ศูนย์วิจัยกสิกรฯ เผยขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำต้นปี 56 เร่งเงินเฟ้อพุ่ง-ดันอัตราว่างงานเพิ่ม

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday December 26, 2012 17:07 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างเป็นวันละ 300 บาท ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ทั่วประเทศในวันที่ 1 ม.ค.56 แม้จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับแรงงาน แต่ยังต้องติดตามผลกระทบที่มีต่อจีดีพีและอัตราเงินเฟ้อ

โดยการปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำครั้งนี้จะช่วยให้แรงงานใน 70 จังหวัด ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 70% ของแรงงานฐานค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ มีรายได้เพิ่มมากขึ้นโดยรวมคิดเป็น 0.6% ของจีดีพีในปี 2556 แต่แรงหนุนจากการขึ้นค่าแรงที่จะส่งผ่านการบริโภคภาคเอกชนมายังจีดีพีอาจอยู่ในระดับต่ำกว่าอัตราดังกล่าว เนื่องจากผลของรายได้ที่เพิ่มขึ้นอาจถูกลดทอนลงโดยหลายปัจจัย อาทิ ระดับค่าครองชีพที่ปรับสูงขึ้นตามราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นจากการผลักภาระต้นทุนการผลิตมายังผู้บริโภค ขณะเดียวกันหากแรงงานยังมีภาระหนี้สินในครัวเรือนที่ต้องผ่อนชำระก็อาจต้องนำรายได้ส่วนเพิ่มนี้ไปชำระหนี้ดังกล่าว ส่งผลให้กำลังซื้อของแรงงานและการบริโภคภาคเอกชนไม่เพิ่มระดับขึ้นจากเดิม

นอกจากนี้ ราคาปัจจัยการผลิตหลายชนิดที่มีกำหนดปรับเพิ่มขึ้นในปี 2556 ซึ่งจะมีผลกระทบต่อภาคธุรกิจ และอาจทำให้แรงงานบางส่วนต้องตกงานและประสบภาวะที่ยากลำบากมากขึ้นในการหางานใหม่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่อาจฉุดรั้งให้ผลของการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศที่มีต่อการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนและจีดีพีอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้แรงงานเช่นกัน

สำหรับผลต่ออัตราเงินเฟ้อนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้ราคาพลังงานในตลาดโลกที่มีแนวโน้มทรงตัวและทิศทางการชะลอตัวของการบริโภคจะเป็นปัจจัยที่ช่วยบรรเทาแรงกดดันเงินเฟ้อลงได้บางส่วน และช่วยให้อัตราเงินเฟ้อในปี 2556 อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ แต่เงินเฟ้อก็ยังมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากผลพวงของการปรับราคาปัจจัยการผลิต(Cost-push Inflation) ทั้งการทยอยลดการอุดหนุนราคาพลังงานของรัฐบาล การปรับเพิ่มค่า Ft ไฟฟ้ารอบใหม่ และต้นทุนค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มขึ้นตามอัตราค่าแรงใหม่

"ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2556 อาจเร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ 3.3% โดยคาดว่าการปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาท/วันทั่วประเทศ จะมีผลต่อการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในปีหน้าราว 0.4%" เอกสารเผยแพร่ ระบุ

โดยผลกระทบของการปรับค่าจ้างขั้นต่ำดังกล่าวต่อภาคธุรกิจมีระดับความรุนแรงแตกต่างกันตามที่ตั้ง ขนาด และประเภทกิจการ รวมไปถึงความสามารถในการปรับตัว การปรับค่าจ้างขั้นต่ำในช่วงต้นปี 2556 จะทำให้อัตราค่าจ้างมาตรฐานของไทยขยับขึ้นร้อยละ 31.7 จากค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ยในปี 2555 ซึ่งอยู่ที่ 227.8 บาท/วัน โดยจังหวัดพะเยาซึ่งมีฐานค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยต่ำที่สุดของประเทศที่ 206.3 บาท/วัน จะมีการปรับเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 45.5 และลดหลั่นกันไปตามช่องว่างระหว่างอัตราค่าจ้างฐานในปัจจุบันและค่าจ้างใหม่ ขณะที่ 7 จังหวัดนำร่องที่มีการปรับขึ้นค่าจ้างไปแล้วในเดือน เม.ย.55 จะคงอยู่ที่ 300 บาท/วัน

"การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำย่อมส่งผลให้ต้นทุนการผลิตของภาคธุรกิจปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งแม้ว่าจะเป็นอัตราที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการปรับขึ้นค่าจ้าง แต่ทุกภาคส่วนธุรกิจก็คงไม่สามารถหลีกหนีจากผลกระทบที่เกิดจากการปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำไปได้" เอกสารเผยแพร่ ระบุ

ขนาดและประเภทธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าจ้างมากที่สุดคงไม่พ้นกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง(SMEs) ของจำนวนผู้ประกอบการทั้งหมดในประเทศ หรือราว 2.3 ล้านราย ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงพึ่งพาแรงงานที่รับค่าจ้างในอัตราขั้นต่ำเพื่อทำงานที่ไม่ต้องอาศัยความชำนาญ ซึ่งหากเป็นกลุ่มที่เน้นตลาดส่งออกที่กำลังตกอยู่ในภาวะซบเซาเป็นหลักด้วยแล้ว ก็น่าจะทำให้ผลกระทบอยู่ในระดับที่รุนแรงเมื่อเทียบกับธุรกิจที่มีความสามารถในการทำกำไรในระดับต่ำ และธุรกิจที่กำลังเผชิญภาวะการแข่งขันสูงที่ทำให้การส่งผ่านภาระต้นทุนการผลิตไปยังผู้บริโภคเป็นไปได้ยาก ซึ่งก็คงจะได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงด้วยเช่นกัน

"ไม่ว่าผลกระทบที่เกิดจากต้นทุนค่าแรงจะมากน้อยเพียงใด หากผู้ประกอบการมีความสามารถในการแข่งขันและการปรับตัวที่ดี อาทิ ผู้ประกอบการมีศักยภาพในการผลิตสินค้าและบริการที่เป็นที่ต้องการในตลาด มีความสามารถในการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มอัตราการเติบโตของรายได้ ในขณะเดียวกันก็สามารถปรับตัวโดยนำเอาเทคโนโลยีและระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพเข้ามาเสริมในการผลิตและการบริหารงานเพื่อลดต้นทุน ก็อาจช่วยบรรเทาผลกระทบของต้นทุนค่าจ้างแรงงานที่ปรับเพิ่มขึ้นและสามารถประคับประคองให้ธุรกิจยังสามารถดำเนินต่อไปได้" เอกสารเผยแพร่ ระบุ

ผลที่ตามมาส่วนหนึ่งคือการว่างงานในระยะสั้นอาจเพิ่มขึ้นบ้างแต่ไม่รุนแรงนักเนื่องจากตลาดแรงงานยังตึงตัว คงต้องยอมรับว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างค่าจ้างขั้นต่ำที่เกิดขึ้น นอกจากจะทำให้ภาคธุรกิจบางส่วนต้องปรับตัว โดยอาจต้องปรับลดจำนวนแรงงาน ลดขนาดกิจการ หรืออาจต้องปิดการลงในท้ายที่สุด ยังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในภาคการจ้างงานของไทยด้วยเช่นกัน

"การเพิ่มค่าจ้างเป็น 300 บาทต่อวันเป็นมาตรการที่รัฐบาลได้ประกาศและวางแนวทางไว้ระยะหนึ่งแล้ว ขณะที่ภาคธุรกิจส่วนหนึ่งน่าจะมีการเตรียมรับมือกับแนวโน้มต้นทุนค่าแรงที่จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดดังกล่าวในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และเมื่อผนวกเข้ากับแนวโน้มของตลาดแรงงานไทยที่อยู่ในภาวะค่อนข้างตึงตัวซึ่งส่งผลให้ภาคธุรกิจส่วนใหญ่ยังเลือกที่จะรักษาแรงงานที่มีทักษะไว้ รวมทั้งหลายธุรกิจยังคงมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะช่วยดูดซับแรงงานที่ต้องประสบภาวะว่างงานจากผลกระทบของภาวะแวดล้อมการดำเนินธุรกิจที่บีบคั้นได้ระดับหนึ่ง ก็น่าจะส่งผลเชื่อมโยงทำให้การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ว่างงานในตลาดแรงงานไทยในระยะสั้นยังไม่เข้าสู่ระดับที่เป็นอันตราย" เอกสารเผยแพร่ ระบุ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า จำนวนผู้ว่างงานในปี 2556 จะอยู่ที่ 3.0 แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงาน 0.8% (กรอบคาดการณ์ 2.6-3.4 แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงาน 0.7-0.9%) เพิ่มขึ้นจากจำนวน 2.65 แสนคน หรือคิดเป็นอัตราการว่างงาน 0.7% ในปี 2555


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ