ข้อมูลเศรษฐกิจที่เปิดเผยหลายรายการเมื่อไม่นานมานี้ บ่งชี้ว่า สถานการณ์ยังไม่ดีอย่างที่คาดหวังไว้ โดยอัตราว่างงานยังอยู่ในระดับสูงที่ 7.7% ขณะที่อัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จะดีขึ้นตลอดทั้งปีหน้า และดัชนีความเชื่อมั่นในเดือนนี้ของสหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติของสหรัฐ (NFIB) ร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2530
นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมเมื่อวานนี้ อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลในเรื่องการปรับขึ้นอัตราภาษีและการปรับลดงบประมาณลง ซึ่งนโยบายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในสัปดาห์หน้าหากรัฐสภาสหรัฐไม่สามารถตกลงกับทำเนียบขาวได้
“ผมคิดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว แต่เป็นอัตราการการฟื้นตัวที่เชื่องช้า" แกรี เบิร์ตเลสส์ ผู้บริหารสถาบันบรู๊กกิ้งส์ในวอชิงตันกล่าว
“อันที่จริง ความมั่งคั่งของชาวอเมริกันที่ลดลงอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2550 ยังคงถ่วงการบริโภคของภาคครัวเรือนและบั่นทอนความเชื่อมั่นของธุรกิจในเรื่องศักยภาพของการขยายธุรกิจในสหรัฐ" นายเบิร์ตเลสส์กล่าว
ในระหว่างปี 2550 — 2552 ภาคครัวเรือนของสหรัฐสูญเสียความมั่งคั่งไปประมาณ 19 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณหนึ่งในสี่ของความมั่งคั่งของภาคครัวเรือน
โดยส่วนมากเป็นการสูญเสียภายในครัวเรือน มีหลักฐานบ่งชี้ว่า ชาวอเมริกันใช้จ่ายประมาณ 5% ของความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นในครัวเรือนในแต่ละปี ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคครัวเรือนอาจใช้จ่ายสูงขึ้น 7.5 แสนล้านดอลลาร์ต่อปีหากความมั่งคั่งไม่ได้ลดลง
นักเศรษศาสตร์บางรายระบุว่า รัฐบาลมีส่วนสำคัญที่สุดในการฉุดรั้งเศรษฐกิจ ซึ่งมีแนวโน้มที่ไม่ดีนักในปีหน้า
ด้านเจมส์ สมิธ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของพาร์เสคไฟแนนเชี่ยลและอดีตประธานสมาคมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจแห่งชาติของสหรัฐ (NABE) แสดงความเห็นว่า สำนักงานป้องกันด้านการเงินเพื่อผู้บริโภคแห่งสหรัฐ (CFPB) และมาตรการปฏิรูปการเงินหลายอย่างของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ตลอดทั้งการปฏิรูปสวัสดิการด้านสุขภาพของเขา ทำให้เกิดความสูญเสียประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี