นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลจะเน้นสร้างความสมดุลระหว่างการส่งออกกับการสร้างความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจภายในประเทศ จากเดิมมีสัดส่วน 70:30 แต่ด้วยภาวะความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก จึงต้องเพิ่มการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงการใช้โอกาสที่จะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน(AEC) และการทำเขตการค้าเสรีต่างๆทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าการดำเนินการเรื่องเศรษฐกิจในภาพรวมนั้น รัฐบาลจะยึดหลักวินัยด้านการเงินการคลัง การรักษาระดับหนี้สาธารณะและใช้งบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
นอกจากนั้น รัฐบาลจะมีการเดินหน้าเรื่องเกษตรโซนนิ่ง ซึ่งจะมีส่วนช่วยทำให้ได้ผลผลิตที่มากขึ้น รายได้ของเกษตรกรมั่นคงขึ้น และทำให้เสถียรภาพด้านราคาดีขึ้น เรื่องต่อไปคือการเดินหน้านโยบายทางด้านพลังงานทดแทนหรือพลังงานทางเลือก รวมไปถึงการเร่งบูรณาการดูแลคุณภาพชีวิต ทั้งเด็ก สตรีและผู้สูงอายุ
ทั้งนี้ รัฐบาลจะยังคงเดินหน้านโยบายรับจำนำข้าวต่อไป เพราะเป็นนโยบายที่สามารถตอบโจทย์การแก้ปัญหาให้กับเกษตรกร แต่ก็จะนำข้อเสนอแนะต่างๆ จากผู้ที่เป็นห่วงนโยบายดังกล่าวมอบหมายให้ทางกระทรวงพาณิชย์ไปตรวจสอบและปรับปรุงกระบวนการ พร้อมทั้งจะพัฒนาสินค้าเกษตรด้วยการทำให้รอบปลูกสินค้าเกษตรให้ตรงกับฤดูกาล
"ในปีหน้ารัฐบาลจะเน้นการทำงานด้วยการสานต่อจากนโยบายเร่งด่วนให้ลงไปในทุกพื้นที่และติดตามความก้าวหน้าในทุกนโยบาย พร้อมทั้งจะมีการพัฒนาในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการน้ำ การพัฒนาการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร และการพัฒนาแรงงานให้มีคุณภาพ รวมไปถึงการต่อยอดงานที่ทำอยู่ให้เกิดรายได้ที่ยั่งยืน เช่น การพัฒนาสินค้าโอทอป เป็นต้น และการสร้างรายได้ใหม่ด้วยการพัฒนาระดับจังหวัดซึ่งจะเห็นยุทธศาสตร์ในระดับจังหวัดและกลุ่มจังหวัดชัดเจนยิ่งขึ้น"นายกรัฐมนตรี กล่าว
ส่วนแนวทางการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น รัฐบาลจะเร่งทำความเข้าใจและงานพัฒนาควบคู่กันไป และเพิ่มเติมงานด้านความมั่นคง โดยจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือการพัฒนาจะเสริมสร้างพื้นที่เศรษฐกิจในอีกหลายพื้นที่ เนื่องจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้เกิดปัญหาความไม่สงบทุกพื้นที่ หากรัฐบาลสามารถสร้างการพัฒนาก็จะทำให้ประชาชนมีกำลังใจ และมีส่วนร่วมกับภาครัฐมากขึ้น และจะทำให้ประชาชนสามารถดูแลตนเองได้มากขึ้น
ขณะที่งานด้านความมั่นคง ก็จะเพิ่มงบประมาณในด้านกำลังคนให้เพียงพอ รวมถึงอุปกรณ์ และยุทธโธปกรณ์ต่างๆ และเร่งบริหารจัดการงานให้เกิดเอกภาพในพื้นที่ รวมถึงการประสานงานในระดับนโยบาย และระดับปฏิบัติการในพื้นที่
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังประเมินการทำงานตลอด 1 ปีกว่าว่า หลังจากเข้ามาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี รัฐบาลต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหาอุทกภัย ที่ส่งผลกระทบกับตัวเลขทางเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 54 โดยต้องใช้เวลาถึง 6 เดือนในการฟื้นฟูและสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ และต้องใช้เวลาอีก 4 เดือนจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งเท่ากับว่ารัฐบาลมีเวลาเพียง 8 เดือนในการเดินหน้านโยบายที่ได้นำเสนอต่อประชาชนไว้
"งานเบื้องต้นอาจมีติดขัดบ้าง ไม่สมบูรณ์บ้าง ดิฉันน้อมรับไปแก้ไข ปรับปรุง เสริมต่อและขยายผลให้ดีขึ้นในปีที่ 2 ดิฉันเองก็ไม่ใช่จะบอกว่าเป็นคนที่สมบูรณ์ แต่ดิฉันมีใจเต็มร้อยที่จะทำงานรับใช้ประชาชน"นายกรัฐมนตรี กล่าว
สำหรับภาวะความเป็นผู้นำนั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ต้องใช้เวลาพิสูจน์จากการทำงาน เพราะตนเองถือว่าเป็นหน้าใหม่ทางการเมือง ซึ่งช่วง 1 ปีก็ถือว่าเป็นช่วงการปรับตัวและเข้าใจดีว่า การเข้าทำงานทางการเมืองก็ต้องมีมีทั้งคนที่รักและคนที่ไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกท้อถอยและจะตั้งใจทำงานต่อไปเพื่อรับใช้ประชาชน
อย่างไรก็ตาม ยังมีจิตใจเต็มร้อยที่จะทำงานรับใช้ประชาชนต่อไป และพร้อมน้อมรับคำติติงในการทำงาน เพื่อนำไปปรับปรุงการทำงานให้ดียิ่งขึ้น และเชื่อว่าเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ผลของการทำงาน และผู้ที่จะตัดสินการทำงานของตนเองได้คือประชาชน