ทั่วโลกจับตาดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในสหรัฐ หลังจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาสหรัฐได้ลงมติผ่านรางกฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยงหน้าผาการคลัง หรือภาวะที่มาตรการปรับขึ้นภาษีและการลดรายจ่ายจะมีผลบังคับใช้พร้อมกันโดยอัตโนมัติ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่มองว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรับกลับเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง
การผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวช่วยหนุนตลาดหุ้นทั่วโลกทะยานขึ้นเมื่อวานนี้ โดยดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดพุ่งขึ้น 3% ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งขึ้นกว่า 300 จุด และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นอังกฤษพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 18 เดือน
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์กล่าวว่าสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวอย่างไม่ยากเย็น ขณะที่สำนักงานงบประมาณของสภาคองเกรส (CBO) ระบุว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวจะส่งผลให้รัฐบาลกลางสหรัฐมียอดขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 4 ล้านล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 10 ปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพราะการขยายมาตรการภาษีต่ำสำหรับชาวอเมริกันส่วนใหญ่
นอกจากนี้ ในเดือนก.พ.นี้ สหรัฐยังต้องเผชิญกับการลงมติเรื่องการปรับเพิ่มเพดานหนี้ซึ่งสภาคองเกรสยังคงมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ขณะที่นักวิเคราะห์บางคนคาดว่าการเจรจาในเรื่องดังกล่าวจะไม่ราบรื่น
"ร่างกฏหมายดังกล่าวช่วยบรรเทาความวิตกกังวลได้ในขณะนี้ แต่ผมคิดว่าอีกไม่นานสหรัฐจะต้องรับมือกับปัญหาระยะที่ 2 ซึ่งถือเป็นยาขมหม้อใหญ่" นายเบอร์นาร์ด บอโมห์ล นักวิเคราะห์จาก Economic Outlook Group กล่าว โดยระบุถึงยถึงการที่รัฐบาลกลางสหรัฐจะต้องลดรายจ่ายและเจรจาเพิ่มเพดานหนี้ในเร็วๆนี้
รายงานการวิเคราะห์ของ CBO ระบุว่า เมื่อเทียบกับกฎหมายฉบับปัจจุบันแล้ว ร่างกฎหมายฉบับใหม่ที่ทำเนียบขาวและวุฒิสภาเพิ่งลงมติเห็นชอบไปเมื่อวานนี้ตามเวลาไทยนั้น จะส่งผลให้รัฐบาลกลางสหรัฐมียอดขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอีกราว 4 ล้านล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 10 ปี เนื่องจากร่างกฎหมายระบุให้มีการขยายระยะเวลาการใช้กฎหมายภาษีพิเศษสำหรับครัวเรือนชาวอเมริกันส่วนใหญ่ที่บังคับใช้ตั้งแต่สมัยของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ซึ่งกฎหมายดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลกลางมียอดขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอีกราว 3.6 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า