สถิติอัตราว่างงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติสหรัฐยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขปรับทบทวนในเดือนที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้น 155,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นตัวเลขใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยที่ 153,000 ตำแหน่งในช่วง 11 เดือนแรกของปี
“อัตราการขยายตัวของการจ้างงานในเดือนธันวาคมจะยังไม่สามารถอุดช่องว่างในตลาดแรงงานได้ไปจนถึงปี 2564" นางเชียร์ฮอล์ซกล่าว
นางเชียร์ฮอล์ซระบุว่า อันที่จริง เศรษฐกิจสหรัฐมีช่องว่างตำแหน่งงาน 9 ล้านตำแหน่ง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ว่างลงนับตั้งแต่ช่วงเศรษฐกิจถดถอยในปี 2550 ผนวกกับตำแหน่งงานที่ควรจะเพิ่มขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของแรงงาน แต่ไม่มีการขยายตัวในช่วงดังกล่าว
วิกฤตแรงงานซึ่งคาดว่าจะยุติลงในปี 2564 ส่งผลให้อัตราว่างงานทำสถิติอยู่ในระดับสูงเป็นเวลา 14 ปีติดต่อกัน ขณะที่สถานการณ์การจ้างงานในเดือนธันวาคมทำสถิติอัตราว่างงานที่อยู่ในระดับสูงเป็นปีที่ 5 ติดต่อกันนับตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2550 และนานกว่า 3 ปีติดต่อกันนับตั้งแต่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวในปี 2552
การว่างงานอย่างยาวนาน ซึ่งหมายถึงผู้ที่ตกงานติดต่อกันนานกว่า 27 สัปดาห์ ยังคงเป็นปัญหาที่สำคัญ โดยประชาชนเกือบ 3 ล้านคนเป็นผู้ว่างงานติดต่อกันยาวนาน และสิ่งที่แย่ไปกว่านั้นก็คือยิ่งว่างงานนานขึ้นก็ยิ่งหางานได้ยากขึ้น เนื่องจากนายจ้างเชื่อว่า ทักษะต่างๆอาจจะสูญเสียไปหากไม่ได้ใช้ติดต่อกันทุกๆวัน
แต่อย่างไรก็ดี นายเบอร์นาร์ด บูมอห์ล หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของอีโคโนมิค เอาท์ลุค กรุ๊ป และแขกรับเชิญประจำในรายการ Nightly Business Report ของสถานีโทรทัศน์พีบีเอสระบุว่า มาตรวัดเศรษฐกิจต่างๆบ่งชี้ว่าสหรัฐกำลังเดินมาถูกทางแล้ว นับตั้งแต่ตลาดที่อยู่อาศัยไปจนถึงความแข็งแกร่งของภาคธนาคารและสินเชื่อผู้บริโภค
นายบูมอห์ลคาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวในปีนี้ หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐได้ผ่าทางตันปัญหางบประมาณค่าใช้จ่าย
“บริษัทที่มีเงินสดสำรองจำนวนมากยังคงรอนำเงินไปลงทุน" เขากล่าว พร้อมกับเสริมว่า บริษัทต่างๆจะเริ่มจ้างพนักงานเพิ่มหลังมีความชัดเจนเกี่ยวกับการปรับลดงบประมาณค่าใช้จ่ายของรัฐบาลและประเด็นอื่นๆด้านการคลังอันเนื่องมาจากความขัดแย้งในรัฐสภา สำนักข่าวซินหัวรายงาน