โดยขณะนี้กระทรวงพลังงานกำลังดูภาพรวมในเรื่องการเตรียมพร้อมสำหรับปริมาณก๊าซฯในอ่าวไทยที่จะลดลงไม่ให้เกิดปัญหาในการผลิตไฟฟ้าและปิโตรเคมี ซึ่งจะส่งผลต่อประชาชนทั้งประเทศ โดยแนวทางเบื้องต้นจะต้องมีการน่ำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากต่างประเทศมาทดแทน ซึ่งขณะนี้ ปตท.กำลังขยายคลังรับจ่ายแอลเอ็นจี จาก 5 ล้านตัน เป็น 10 ล้านตันต่อปี
ขณะเดียวกัน เพื่อยังคงรักษาระดับการผลิตก๊าซฯ ในอ่าวไทยให้ได้นานที่สุด ทางกระทรวงพลังงานได้ตั้งคณะทำงานแก้ไขกฎหมายปิโตรเลียมเพื่อให้สามารถพัฒนาสัมปทานแหล่งปิโตรเลียมแหล่งเดิมของกลุ่มเชฟรอน และ ปตท.สผ. จากที่กฎหมายปัจจุบันได้มีการต่ออายุไป 2 รอบแล้ว และไม่สามารถต่ออายุได้อีก โดยคาดว่าจะใช้เวลาศึกษาประมาณ 6 เดือน
นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานเตรียมที่จะเปิดสัมปทานปิโตรเลียม รอบที่ 21 ซึ่ง นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน ได้ให้นโยบายไปทำความเข้าใจกับประชาชนทั้งส่วนกลาง และในพื้นที่ที่จะเปิดสัมปทานในต่างจังหวัด โดยสัมปทานรอบนี้จะมีทั้งหมด 22 แปลง คาดว่าจะมีสำรองก๊าซฯ ประมาณ 3-5 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต , น้ำมันดิบ ประมาณ 20-30 ล้านบาร์เรล ซึ่งหากคำนวณจากการใช้ก๊าซฯ ของประเทศไทย 1.6 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ก็จะใช้ก๊าซฯ ส่วนนี้ได้เพียว 2-3 ปีเท่านั้น ส่วนน้ำมันดิบประเทศไทยใช้ประมาณ 1 ล้านบาร์เรล/วัน ก็จะใช้ได้เพียง 1 เดือนเท่านั้น อย่างไรก็ตามภาพรวมจะก่อให้เกิดการลงทุนไม่ต่ำวก่า 4 พันล้านบาท
ในส่วนของโครงการพัฒนาในพื้นที่ร่วมไทย-มาเลเซีย ซึ่งปัจจุบันมีการผลิตก๊าซฯ อยู่ 1.2-1.3 พันล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ส่งเข้าไทยประมาณ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน มาเลเซียประมาณ 400 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ซึ่งตามข้อตกลงจะมีการแบ่งสัดส่วนก๊าซฯ ฝ่ายละครึ่ง โดยมาเลเซียจะมีการรับก๊าซฯ เพิ่มอีก 300 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ในปี 2556 ดังนั้น ก๊าซฯ ในอ่าวไทยก็จะหายไปในสัดส่วนที่เท่ากัน ก็จะมีการนำ LNG มาทดแทน แต่ต้องยอมรับว่าราคา LNG ก็จะสูงขึ้น